ทนายความจังหวัดจันทบุรี

ทนายความจังหวัดจันทบุรี

เปิดหน้าต่อไป

รู้จักทนาย รู้กฎหมาย ไม่เสียเปรียบ

รู้จักทนายความทั่วประเทศ

เวปไซต์สมาชิกเครือข่ายทนายความ กรุงเทพมหานคร

1. เครือข่ายทนายความ

https://www.ทนายกรุงเทพ.com

 

2. ประธานเครือข่ายทนายความ (เขตวัฒนา)

https://www.ทนายภูวงษ์.com

 

3. เขตตลิ่งชัน

https://www.ทนายศิรสิทธิ์.com

 

4. เขตปทุมวัน

https://www.ทนายเจมส์.com

 

5. เขตลาดกระบัง

https://www.สมาร์ทไทยลอว์เยอร์.com

 

6. เขตบางกะปิ

https://www.ทนายคดีครอบครัว.com

เวปไซต์สมาชิกเครือข่ายทนายความ ภาคกลาง

1. จังหวัดลพบุรี

https://www.ทนายประดิษฐ์.com

 

2. จังหวัดลพบุรี

https://www.สำนักงานทนายความเฉลิมพล.com

 

3. จังหวัดสระบุรี 

https://www.ทนายนิดสระบุรี.com

 

4. จังหวัดนนทบุรี

https://www.ทนายจอส.com

 

5. จังหวัดอุทัยธานี

https://www.ทนายรัชเดช.com

 

6. จังหวัดนครปฐม

https://www.ทนายอนันต์.com

 

7. จังหวัดสมุทรสาคร

https://www.ทนายชีวารัตน์.com

 

8. จังหวัดพิษณุโลก

https://www.สำนักงานฟิวชั่นโฮมลอว์.com

 

9. จังหวัดนนทบุรี

https://www.ทนายจอส.com

     

10.จังหวัดนครสวรรค์

https://www.ทนายไพศาล.com

 

11. จังหวัดพิจิตร

https://www.ทนายธีรภัทร.com

 

12.จังหวัดสุพรรณบุรี

https://www.ทนายจักรพันธ์.com  

 

13.จังหวัดพิษณุโลก       

https://www.ทนายเสกสรรค์.com

 

14. จังหวัดเพชรบูรณ์ 

https://www.ทนายธีรนาถ.com

 

15. จังหวัดสมุทรสาคร       

https://www.ทนายวณิชชา.com 

เวปไซต์สมาชิกเครือข่ายทนายความ ภาคเหนือ

1. จังหวัดเชียงราย

https://www.ทนายแบงค์.com

 

2. จังหวัดน่าน

https://www.ทนายแขก.com

 

3. จังหวัดพะเยา

https://www.ทนายอรอนงค์.com

 

4.จังหวัดลำพูน

https://www.ทนายอธิปไตย.com

 

5. จังหวัดเชียงใหม่

https://www.ทนายอัษฎา.com 

เวปไซต์สมาชิกเครือข่ายทนายความ ภาคอีสาน

1. จังหวัดสุรินทร์

https://www.ทนายครูองอาจ.com

 

2. จังหวัดเลย

https://www.ทนายขจรศักดิ์.com

 

3. จังหวัดสุรินทร์

https://www.ทนายสมรส.com

 

4. จังหวัดร้อยเอ็ด

https://www.ทนายพชรร้อยเอ็ด.com

 

5. จังหวัดอุบลราชธานี

https://www.ทนายตั้มอุบลราชธานี.com

 

6. จังหวัดอำนาจเจริญ

https://www.ทนายพิศาล.com

 

7. จังหวัดขอนแก่น

https://www.ทนายศิรประภา.com 

      

8. จังหวัดศรีสะเกษ

https://www.ทนายโตน.com

 

9. จังหวัดนครราชสีมา

https://www.ทนายวรภาดา.com

 

10. จังหวัดนครราชสีมา

https://www.ทนายนิติรัตน์.com 

 

11. จังหวัดอุดรธานี

https://www.ทนายนิธิวัฒน์.com  

 

12. จังหวัดนครราชสีมา

https://www.ทนายพลัฎฐ์.com

 

13. จังหวัดศรีสะเกษ

https://www.ทนายเตชทัต.com 

 

14. จังหวัดอุบลราชธานี

https://www.ทนายพิชิตชัย.com 

 

15. จังหวัดสกลนคร

https://www.ทนายวีระพงษ์.com

 

16. จังหวัดเลย(ทนายบอล)

https://www.ทนายเมืองเลย.com

 

17. จังหวัดอุบลราชธานี

https://www.ทนายสุพรรณ.com          

เวปไซต์สมาชิกเครือข่ายทนายความ ภาคใต้

1. จังหวัดนครศรีธรรมราช

https://www.ทนายคดีครอบครัว.com

 

2. จังหวัดนครศรีธรรมราช

https://www.ทนายจิราภรณ์.com

 

3. จังหวัดสงขลา

https://www.ทนายเป็นต่อ.com

 

4. จังหวัดนราธิวาส

https://www.ทนายธนกร.com

 

5. จังหวัดภูเก็ต

https://www.Lawyerkung.com

 

6. จังหวัดสงขลา

https://www.ทนายบุญวัฒน์.com

 

7. จังหวัดสุราษฎร์

https://www.ทนายเอกทนายคุ้มครองสิทธิ์.com

 

8. จังหวัดสงขลา

https://www.Okaylawyer.com        

เวปไซต์สมาชิกเครือข่ายทนายความ ภาคตะวันออก

1. จังหวัดปราจีนบุรี

https://www.ทนายกอบธนัช.com

 

2. จังหวัดปราจีนบุรี

https://www.ทนายโชคปราจีนบุรี.com

 

3. จังหวัดจันทบุรี

https://www.ทนายอุลิช.com

เวปไซต์สมาชิกเครือข่ายทนายความ ภาคตะวันตก

1. จังหวัดกาญจนบุรี

https://www.ทนายภู่.com

 

2. จังหวัดกาญจนบุรี

https://www.ทนายเสือ.com

 

          หากท่านได้ใช้บริการทนายความของเราแล้ว สามารถแสดงความคิดเห็นในการให้บริการ หรือติชมการให้บริการได้ เพื่อเราจะได้นำมาแก้ไขและปรับปรุงการให้บริการต่อไป ขอขอบคุณทุกท่านที่ใช้บริการการเครือข่ายทนายความของเราครับ


รู้กฎหมาย ไม่เสียเปรียบ

กฎหมายมรดก

 1. มรดกคืออะไร

 2. มรดกเล็กใหญ่ ใครมีสิทธิก่อน

 3. รู้จักผู้สืบสันดาน

 4. ทายาทโดยธรรมผู้มีสิทธิรับมรดก

 5. หากเจ้ามรดกมีคู่สมรสแล้วถึงแก่ความตายการแบ่งมรดกทำอย่างไร่

 6. บุตรนอกกฎหมาย บุตรบุญธรรม มีสิทธิรับมรดกหรือไม่

 7. การเป็นทายาทที่มีสิทธิรับมรดกเริ่มตั้งแต่เมื่อไหร่

 8. ลำดับทายาทโดยชอบธรรมที่จะมีสิทธิรับมรดก

 9. ทายาทของกองมรดกที่มีสิทธิได้รับมรดกนั้นอย่างไร

 10. มรดกเป็นปืน ให้ระวัง

 11. มรดกของพระต้องทำอย่างไร ทายาทต้องทำอย่างไร

 12. เหตุเพราะไม่ทำพินัยกรรม ทายาทถึงมีปัญหา

 13. เป็นพระสงฆ์มีสิทธิได้รับมรดกหรือไม่

 14. ทรัพย์สินของพระที่ได้มาระหว่างบวช มรณภาพแล้ว ทรัพย์นั้นไปใหน

ปรึกษาทนาย 099 464 4445
ค้นหาข้อมูลสู้คดี https://www.สู้คดี.com
 ………………………………………..

 1. มรดกคืออะไร( 1 of 14.)

คำว่า มรดก หมายถึง ทรัพย์สินทุกชนิดที่ผู้ตายมีอยู่ก่อนตาย รวมถึงสิทธิและหน้าที่ความรับผิดต่างๆ เว้นแต่โดยสภาพตามกฎหมายเป็นเฉพาะตัวตามบทบัญญัติประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1600 และทรัพย์สินรวมทั้งสิทธิและหน้าที่ความรับผิดที่เป็นมรดกจะตกทอดแก่ทายาทเมื่อบุคคลผู้นั้นถึงแก่ความตาย ตามบทบัญญัติของมาตรา 1599 การตกทอดมรดกในทรัพย์สินนั้นตกทอดทันทีที่เจ้ามรดกเสียชีวิต ซึ่งเป็นผลของกฎหมาย อย่างไรก็ดี แม้ว่าทรัพย์มรดกเกี่ยวกับหนี้สินของผู้ตายจะมีมากเท่าใด ความรับผิดชอบในหนี้สินแม้จะตกแก่ทายาท แต่ทายาทที่รับมรดกก็ไม่ต้องรับผิดชอบในหนี้นั้นเกินกว่าทรัพย์มรดกที่ตนได้รับ เป็นไปตามบทบัญญัติของมาตรา 1601 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

ปรึกษาทนาย 099 464 4445
ค้นหาข้อมูลสู้คดี https://www.สู้คดี.com
 ………………………………………..

 2. มรดกเล็กใหญ่ ใครมีสิทธิก่อน ( 2 of 14.)

ปัญหาเรื่องมรดกกลายเป็นต้นเหตุให้ผู้คนเกิดการแก่งแย่งกันมามากมายแล้ว หากเจ้าของมรดกทำพินัยกรรมเอาไว้เรียบร้อยก็คงไม่มีปัญหา แต่ถ้าไม่ได้ทำไว้ ลูกหลานจะทำอย่างไรกันดี ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1629 มาตรา 1630 และ มาตรา 1631 กำหนดให้ทายาทที่จะได้รับมีมรดกเพียง 6 ลำดับ คือ 1. ผู้สืบสันดาน (ลูกเจ้าของมรดก) 2. บิดามารดา 3. พี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน 4. พี่น้อง ร่วมบิดา หรือร่วมมารดาเดียวกัน 5. ปู่ ย่า ตา ยาย และ 6. ลุง ป้า น้า อา โดยส่วนใหญ่ทายาทชั้นที่ชิดสนิทที่สุดของเจ้ามรดกเท่านั้นคือ 1. ผู้สืบสันดาน (ลูกเจ้าของมรดก) 2. บิดามารดาจะได้รับมรดกก่อน และกฎหมายยกเว้นให้ทั้งสองลำดับดังกล่าวอยู่ในลำดับเดียวกัน หากทายาท 2 ลำดับแรก คือ ผู้สืบสันดานและบิดามารดาไม่มีชีวิตอยู่ทั้งหมด ทายาทลำดับ 3 ซึ่งเป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันของเจ้ามรดกอยู่ก็จะได้รับทรัพย์สินไป โดยทายาทที่อยู่ในลำดับที่ 4 ถึง 6 ก็จะไม่มีสิทธิรับมรดกของเจ้ามรดกได้ รู้ลำดับชั้นของกฎหมายกันแล้ว ญาติพี่น้องจะได้ไม่ต้องมานั่งทะเลาะ แย่งสมบัติกันให้เจ้าของมรดกนอนตายตาไม่หลับ

ปรึกษาทนาย 099 464 4445
ค้นหาข้อมูลสู้คดี https://www.สู้คดี.com
 ………………………………………..

 3. รู้จักผู้สืบสันดาน (3 of 14)

เวลาที่เราอ่านหนังสือกฎหมายเรื่องเกี่ยวกับมรดกมักจะพบคำว่า “ผู้สืบสันดาน” ทำให้เกิดความสงสัยว่าหมายถึงใคร ทั้งนี้ตามกฎหมายระบุไว้ว่า ผู้สืบสันดาน หมายถึง ผู้สืบสายโลหิตโดยตรงลงมา ได้แก่ ลูก หลาน เหลน ลื่อ ลื่อก็คือ คนที่สืบต่อจากเหลนลงมา เป็นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1629 (1) นอกจากนี้ในกลุ่มของผู้สืบสันดานยังสามารถแบ่งประเภทของบุตรที่จะมีสิทธิได้รับมรดกในลำดับชั้นเดียวกัน โดยแบ่งเป็น 3 ประเภท ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1627 ประกอบด้วย 1. บุตรโดยชอบด้วยกฎหมายหรือบุตรที่เกิดจากบิดาที่จดทะเบียนสมรส 2. บุตรนอกกฎหมายที่บิดารับรองหรือบุตรที่เกิดจากบิดามารดาที่อยู่กินกัน ฉันสามีภริยาโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรสแต่ต่อมาบิดาได้รับรอง เช่น การแจ้งเกิด การให้ใช้นามสกุล การส่งเสียเลี้ยงดู หรือการแสดงเปิดเผยแก่บุคคลทั่วไปว่าเป็น บุตรของตน 3. บุตรบุญธรรมหรือการรับลูกคนอื่นมาเลี้ยงเสมือนเป็นลูกของตัวเอง โดยต้องจดทะเบียนตามกฎหมาย เข้าใจภาษามรดกแล้ว คราวนี้การศึกษาหรือการแบ่งทรัพย์สินก็ทำได้ไม่ยากอีกต่อไป

ปรึกษาทนาย 099 464 4445
ค้นหาข้อมูลสู้คดี https://www.สู้คดี.com
………………………………………..

 4. ทายาทโดยธรรมผู้มีสิทธิได้รับมรดก ( 4 of 14)

การที่ทายาทโดยธรรมจะมีสิทธิได้รับมรดกนั้น เจ้ามรดกจะต้องไม่ทำพินัยกรรมยกให้บุคคลอื่นไว้ เพราะหากทำพินัยกรรมไว้ ทรัพย์มรดกนั้นจะต้องตกเป็นของผู้รับพินัยกรรมแต่เพียงผู้เดียว ทายาทโดยธรรมจะได้รับมรดกก็ต่อเมื่อทรัพย์มรดกนั้นไม่ได้ทำพินัยกรรมยกให้แก่ผู้หนึ่งผู้ใด เมื่อเจ้ามรดกถึงแก่ความตายทายาทโดยธรรมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1629 ลำดับที่ 1 ถึง 6 จึงจะมีสิทธิได้รับมรดกและต้องอยู่ภายใต้บทบัญญัติการจัดแบ่งทรัพย์มรดกด้วย

ปรึกษาทนาย 099 464 4445
ค้นหาข้อมูลสู้คดี https://www.สู้คดี.com
 ………………………………………..

 5. หากเจ้ามรดกมีคู่สมรสแล้วถึงแก่ความตายการแบ่งมรดกทำอย่างไร (5 of 14)

การที่เจ้ามรดกถึงแก่ความตายขณะที่มีคู่สมรส หากทรัพย์สินนั้นเป็นสินสมรส จะต้องจัดแบ่งออกเป็น 2 ส่วนเสียก่อน โดยถือว่า หนึ่งส่วนเป็นของคู่สมรสแต่ผู้เดียว และอีกส่วนหนึ่ง เป็นทรัพย์มรดกที่ตกทอดแก่ทายาท ซึ่งจะต้องนำมาจัดแบ่งตามลำดับของประมวลกฎหมายแพ่งพาณิชย์ มาตรา 1629

ปรึกษาทนาย 099 464 4445
ค้นหาข้อมูลสู้คดี https://www.สู้คดี.com
………………………………………..

 6. บุตรนอกกฎหมาย บุตรบุญธรรม มีสิทธิรับมรดกหรือไม่ (6 of 14.)

ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1627 ได้บัญญัติไว้ว่าบุตรนอกกฎหมายที่บิดารับรองแล้วและบุตรบุญธรรม ให้ถือว่าเป็นผู้สืบสันดานเหมือนกับบุตรชอบด้วยกฎหมาย ดังนั้น การเป็นบุตรที่เกิดจากชายที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสกับหญิง จะมีสิทธิได้รับมรดกของชายได้ ก็ต่อเมื่อผู้เป็นบิดาได้รับรองว่าเป็นบุตร ซึ่งการรับรองบุตรดังกล่าว อาทิ การส่งเสียเลี้ยงดู ให้ใช้นามสกุล เมื่อแรกคลอดระบุว่าเป็นบิดา โดยที่มีบุคคลทั่วไปรับรู้ เหตุดังกล่าวถือว่า บิดาได้รับรองแล้ว บุตรผู้นั้นจึงมีสิทธิได้รับมรดกเสมือนเป็นทายาทโดยธรรมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1629 (1) เช่นเดียวกับบุตรบุญธรรมซึ่งมีสิทธิได้รับมรดกจากผู้รับบุตรบุญธรรม โดยกฎหมายให้ถือว่า เป็นผู้สืบสันดานที่มีสิทธิได้รับมรดก เสมือนกับบุตรโดยชอบด้วยกฎหมาย

(โปรดติดตามโพสต์ต่อไป เรื่อง การเป็นทายาทมีสิทธิรับมรดกเริ่มตั้งแต่เมื่อไหร่)

ปรึกษาทนาย 099 464 4445
ค้นหาข้อมูลสู้คดี https://www.สู้คดี.com
………………………………………..

 7. การเป็นทายาทที่มีสิทธิรับมรดกเริ่มตั้งแต่เมื่อไหร่ (7 of 14)

การที่บุคคลใดจะมีสิทธิรับมรดกในฐานะทายาท บุคคลนั้นจะต้องมีสภาพเป็นบุคคลตามกฎหมายด้วย ซึ่งสภาพบุคคลย่อมเริ่มต้นตั้งแต่คลอดจากครรภ์มารดาและอยู่รอดเป็นทารก และทารกในครรภ์มารดา ก็สามารถมีสิทธิต่างๆ หากว่าภายหลังคลอดแล้วอยู่รอดมาเป็นทารก ตามบทบัญญัติประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1604 ประกอบมาตรา 15 ดังนั้น ทายาทจะมีสิทธิรับมรดกต้องมีสภาพบุคคลตามบทบัญญัติดังกล่าวอย่างไรก็ดี ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1604 วรรคสองได้กำหนดไว้ว่า การที่ชายและหญิงจดทะเบียนสมรสกัน และหญิงตั้งครรภ์ก่อนที่จะคลอดบุตร ต่อมาชายเจ้ามรดกถึงแก่ความตายไปก่อนหากหญิงคลอดบุตรภายในสามร้อยสิบวันนับแต่เจ้ามรดกถึงแก่ความตายให้ถือว่าทารกที่เกิดมาเป็นทายาทของชายผู้นั้นและมีสิทธิได้รับมรดกด้วย

ปรึกษาทนาย 099 464 4445
ค้นหาข้อมูลสู้คดี https://www.สู้คดี.com
………………………………………..

8. ลำดับทายาทที่จะมีสิทธิได้รับมรดกก่อนและหลัง (8 of 14)

ทายาทโดยธรรมจะมีสิทธิได้รับมรดกก่อนหรือหลัง เป็นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1629 ดังนี้ 1. ผู้สืบสันดาน เช่น ลูก หลาน เหลน ลื้อ 2. บิดามารดา 3. พี่น้องร่วมบิดามารดา 4. พี่น้องร่วมแต่บิดาหรือมารดา 5. ปู่ย่า ตายาย 6. ลุงป้า น้าอา ทั้งนี้กฎหมายกำหนดให้ทายาทโดยธรรมที่มีลำดับต้นๆ มีสิทธิได้รับมรดกก่อนลำดับหลังทายาทที่มีลำดับถัดมาจะไม่มีสิทธิได้รับมรดกเลย ถ้ายังมีทายาทโดยธรรมลำดับก่อนตนเป็นไปตามมาตรา 1630 วรรคแรก อย่างไรก็ดี กฎหมายมีข้อยกเว้นไว้ว่า กรณีที่คู่สมรสและบิดามารดาที่ยังมีชีวิตอยู่ ให้มีสิทธิได้รับมรดกเท่ากับทายาทชั้นบุตรหรือผู้สืบสันดาน ตามบทบัญญัติมาตรา 1635 (1) และมาตรา 1630 วรรคที่สอง นอกจากนี้ตามบทบัญญัติมาตรา 1631 กำหนดไว้ว่า ในระหว่างผู้สืบสันดานต่างชั้นกัน บุตรของเจ้ามรดกอันอยู่ในลำดับชั้นสนิทเท่านั้นมีสิทธิได้รับมรดก ผู้สืบสันดานชั้นถัดไปจะรับมรดกก็ได้แต่ต้องอาศัยสิทธิในการรับมรดกแทนที่ กรณีดังกล่าวหมายถึงผู้สืบสันดานซึ่งเป็นทายาทเจ้ามรดกลำดับที่ 1 เช่น เจ้ามรดกมีลูกและหลาน ซึ่งเป็นผู้สืบสันดานเช่นกัน ผู้ที่มีสิทธิได้รับมรดกก่อนคือ ลูกของเจ้ามรดกซึ่งถือเป็นชั้นสนิทที่สุด สำหรับหลานจะได้มรดกนั้นต้องเป็นการรับมรดกแทนที่เท่านั้น (ติดตามโพสต์ต่อไป ทายาทของกองมรดกที่มีสิทธิได้รับมรดกนั้นอย่างไร)

ปรึกษาทนาย 099 464 4445
ค้นหาข้อมูลสู้คดี https://www.สู้คดี.com
………………………………………..

 9. ทายาทของกองมรดกที่มีสิทธิได้รับมรดกนั้นอย่างไร (9 of 14)

ทายาทที่มีสิทธิ์ได้รับมรดกมี 2 ประเภท คือ 1. ทายาทที่มีสิทธิตามกฎหมาย เรียกว่า ทายาทโดยธรรม และ 2. ทายาทที่มีสิทธิตามพินัยกรรม เรียกว่า ผู้รับพินัยกรรม ตามบทบัญญัติประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1603 ทายาทโดยธรรมนั้น กฎหมายได้ลำดับทายาทไว้ก่อนหลังตามบทบัญญัติ มาตรา 1629 ซึ่งได้แก่ 1. ผู้สืบสันดาน 2. บิดามารดา 3. พี่น้องร่วมบิดามารดา 4. พี่น้องร่วมแต่บิดาหรือมารดา 5. ปู่ย่า ตายาย 6. ลุงป้า น้าอา นอกจากนี้ คู่สมรสก็ถือเป็นทายาทโดยธรรม ตามบทบัญญัติมาตรา 1635 ซึ่งมีสิทธิเทียบเท่าทายาทลำดับที่ 1 คือ ผู้สืบสันดานหรือเทียบเท่าชั้นบุตรนั่นเอง (ติดตามโพสต์ต่อไป

ปรึกษาทนาย 099 464 4445
ค้นหาข้อมูลสู้คดี https://www.สู้คดี.com
………………………………………..

 10. มรดกเป็นปืน ให้ระวัง (10 of 14)

การได้รับมรดกจากพ่อแม่หรือญาติผู้ใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ ที่ดิน เงินทอง ฯลฯ สินทรัพย์เหล่านี้ผู้เป็นลูกหลานย่อมยินดีจะรับไว้และเต็มใจที่จะดำเนินการเพื่อ ครอบครอง แต่ถ้าหากมรดกนั้นเป็นสิ่งที่เหนือความคาดหมาย เช่น พวกอาวุธปืน ควรจะต้องทำอย่างไร แม้ว่าผู้รับจะอยากได้หรือไม่ก็ตาม แต่ผู้รับมรดกมีหน้าที่ที่จะต้องไปดำเนินการ ตามกฎหมาย คือแจ้งต่อนายทะเบียนภายในท้องที่ภายใน 30 วันว่าผู้ครอบครอง เดิมนั้นเสียชีวิตแล้ว และขอใบอนุญาตใหม่สำหรับตนเองเพื่อครอบครองอาวุธปืน เป็นไปตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 64 วรรคแรก หากไม่ทำหรือละเลย ปล่อยทิ้งเอาไว้ ก็อาจกลายเป็นการครอบครองอาวุธปืน โดยไม่ได้รับอนุญาต อาจมีความผิดตามมาตรา 83 ปรับไม่เกิน 1,000 บาท

ปรึกษาทนาย 099 464 4445
ค้นหาข้อมูลสู้คดี https://www.สู้คดี.com
………………………………………..

 11. มรดกของพระต้องทำอย่างไร ทายาทถึงจะได้ (11 of 14)

หากในระหว่างบวชเป็นพระสงฆ์มีญาติโยมมอบเงินทอง ที่ดิน รถยนต์ให้ใช้ และปรากฎว่าต่อมาภิกษุรูปนั้นเกิดมรณภาพ ตามประมวลกฎหมายแพ่ง และพาณิชย์ มาตรา 1623 กำหนดว่า ทรัพย์สมบัติดังกล่าวต้องตกเป็นของวัด ที่จำพรรษาอยู่ ดังนั้น ทายาทจะมาร้องขอส่วนแบ่งจากวัดไม่ได้ ยกเว้นแต่ ระหว่างท่านยังมีชีวิตอยู่ได้มอบทรัพย์สินเงินทองให้ใคร หรือทำพินัยกรรมเอาไว้ให้บุคคลอื่นได้ เพราะทรัพย์ดังกล่าวเป็นของท่านที่จะมอบให้ใครก็ได้ ยกตัวอย่างเช่น พระมนัสได้ทำพินัยกรรมมอบรถยนต์ให้แก่น้องชายตัวเองเอาไว้ ต่อมาเมื่อพระมนัสมรณภาพ รถยนต์คันดังกล่าวก็ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของน้องชาย โดยที่วัดไม่มีสิทธิ์ยึดครองเอาไว้ ส่วนทรัพย์สินอื่นๆ ที่มิได้ทำพินัยกรรมไว้ย่อมตกเป็นของวัด โดยที่ญาติของพระมนัสจะมาเรียกร้องไม่ได้เช่นกัน

ปรึกษาทนาย 099 464 4445
ค้นหาข้อมูลสู้คดี https://www.สู้คดี.com
 ………………………………………..

กฎหมายมรดก (ต่อ)

12. เหตุเพราะไม่ทำพินัยกรรม ทายาทถึงมีปัญหา (12 of 14)

เมื่อมีทั้งคู่สมรสและเครือญาติ เรื่องของมรดกนั้น หากเจ้ามรดกทำพินัยกรรมเรียบร้อยย่อมไม่มีปัญหา แต่ถ้าไม่ได้ทำไว้นี่เองย่อมกลายเป็นเรื่องยุ่งยากตามมา กรณีที่ผู้ตายซึ่งเป็นเจ้ามรดกมีสามีหรือภรรยาที่จดทะเบียนสมรสกันถูกต้อง ฝ่ายที่ยังมีชีวิตอยู่มีสิทธิที่จะได้รับทรัพย์สินครึ่งหนึ่งจากมรดกส่วนที่เป็นสินสมรสก่อน ตามประมวล กฏหมายแพ่งและพานิชย์ มาตรา 1625 ส่วนสินสมรสที่เหลืออีกครึ่งหนึ่ง ก็จะตกเป็นมรดกของทายาท ดังนั้น คู่สมรสจึงมีสิทธิได้รับมรดกอีกครั้งหนึ่งในฐานะทายาทร่วมกับ (ลูกเจ้ามรดก) และบิดามารดาของผู้ตายที่ยังมีชีวิตอยู่ตามประมวล กฏหมายแพ่งและพานิชย์ มาตรา 1629, 1635 (1) ตัวอย่างเช่น นายเอและนางบี เป็นสามีภรรยาตามกฎหมาย และมีทรัพย์สินรวมกัน 1,000,000 บาท มีบุตรด้วยกัน 1 คน และมีบิดา และมารดาของนายเอที่ยังมีชีวิตอยู่ด้วย ต่อมานายเอเสียชีวิต เบื้องต้นทรัพย์สิน จำนวน 1,000,000 บาท นางบีจะได้รับเงินจำนวน 500,000 บาท ไปก่อน ซึ่งถือเป็นเงินสินสมรส ส่วนที่เหลืออีก 500,000 ก็ตกเป็น มรดกของทายาทตามลำดับของนายเอ ที่ประกอบด้วยบุตร บิดามารดา ที่ยังมีชีวิต และนางบีภรรยาอีกด้วย โดยจะได้ส่วนแบ่งในอัตราสัดส่วน เท่าๆ กัน คือคนละ 125,000 บาท ขณะที่นางบีภรรยาจะได้เงินรวมทั้งสิ้น 625,000 บาท

ปรึกษาทนาย 099 464 4445
ค้นหาข้อมูลสู้คดี https://www.สู้คดี.com
………………………………………..

13. เป็นพระสงฆ์มีสิทธิได้รับมาดกหรือไม่ (13 of 14)

 ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา1622 ได้บัญญัติเกี่ยวกับสิทธิของพระภิกษุในการรับมรดก ดังนี้ พระภิกษุนั้น จะเรียกร้องเอาทรัพย์มรดกในฐานะทายาทโดยธรรมไม่ได้ เว้นแต่จะได้สึกจากสมณะเพศ และมาเรียกร้องภายในกำหนดอายุความตามมาตรา 1754 และวรรคสองของมาตรา 1622 ได้บัญญัติไว้ว่า พระภิกษุนั้น อาจเป็นผู้รับพินัยกรรมได้ดังนั้น กรณีมีบุคคลที่บวชเป็นพระ หากต้องการเรียกร้องทรัพย์สินมรดกในฐานะที่ตนเป็นทายาทโดยธรรมจะต้องสึกจากการเป็นพระเสียก่อนแล้วมาเรียกร้องทรัพย์มรดกได้ อย่างไรก็ดี การที่มาเรียกร้องทรัพย์มรดกจะต้องเรียกร้องภายในกำหนดหนึ่งปีนับแต่เจ้ามรดกถึงแก่ความตายตามบทบัญญัติของมาตรา 1754 แต่สำหรับกรณีที่เจ้ามรดกทำพินัยกรรมยกทรัพย์สินให้พระภิกษุนั้น พระภิกษุไม่จำเป็นต้องสึกจากการเป็นพระเสียก่อนแต่อย่างใด ทั้งนี้สามารถรับมรดกในฐานะทายาท โดยพินัยกรรมได้ทันทีที่เจ้ามรดกถึงแก่ความตาย

ปรึกษาทนาย 099 464 4445
ค้นหาข้อมูลสู้คดี https://www.สู้คดี.com
 ………………………………………..

14. ทรัพย์สินของพระที่ได้มาระหว่างบวช มรณภาพแล้ว ทรัพย์นั้นไปใหน (14 of 14)

ตามบทบัญญัติประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1623 ได้บัญญัติว่าทรัพย์สินของพระภิกษุที่ได้มาระหว่างที่อยู่ในสมณะเพศนั้น เมื่อพระภิกษุถึงแก่มรณภาพให้ตกเป็นสมบัติของวัดที่เป็นภูมิลำเนาของพระภิกษุนั้นหรือที่อยู่ในขณะมรณภาพ แต่อย่างไรก็ตาม หากพระภิกษุในขณะมีชีวิตอยู่ได้ทำการจำหน่าย จ่ายโอนทรัพย์สินนั้นไปหรือยกทรัพย์สินให้บุคคลอื่น ทรัพย์สินนั้นก็ไม่ตกแก่วัด อีกทั้งพระภิกษุก็มีสิทธิทำพินัยกรรมยกทรัพย์สินให้บุคคลอื่นได้ตามบทบัญญัติดังกล่าวข้างต้น นอกจากนี้ทรัพย์สินใดของพระภิกษุได้มาก่อนอุปสมบท ทรัพย์สินนั้นก็ไม่ตกเป็นของวัดแต่อย่างใด หากไม่ได้จำหน่ายจ่ายโอนให้ผู้ใด เมื่อพระภิกษุมรณภาพ ทรัพย์สินนั้นก็ตกเป็นมรดกตกทอดแก่ทายาทโดยธรรมต่อไป ตามบทบัญญัติของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1624

ปรึกษาทนาย 099 464 4445
ค้นหาข้อมูลสู้คดี https://www.สู้คดี.com
 ………………………………………..

กฎหมายครอบครัว

1. อยากมีคู่ต้องดูอายุด้วย
2. การหมั้นคืออะไร
3. การหมั้นสามารถบังคับให้อีกฝ่ายจดทะเบียนสมรสได้หรือไม่
4. สินสอด
5. เงื่อนไขการสมรส
6. การสมรสที่ถูกต้องตามกฎหมายต้องทำอย่างไร
7. การจดทะเบียนสมรสซ้อนมีผลอย่างไร
8. ทรัพย์สินระหว่างสามีภรรยา
9. สินสมรสคืออะไร
10. การแบ่งสินสมรส
11. สินส่วนตัวคืออะไร
12. หนี้ต้องรับ ทรัพย์ต้องแบ่ง
13. การมีบุตรที่พ่อแม่ไม่ได้จดทะเบียนกัน
14. การรับบุตรบุญธรรม
15. สิทธิของผู้รับบุตรบุญธรรม
16. สิทธิของบุตรบุญธรรม
17. การเป็นบุตรบุญธรรมที่ชอบด้วยกฎหมาย
18. ชื่อสกุลนั้นสำคัญไฉน
19. ความผิดฐานทิ้งลูก
20. ความผิดฐานแท้งลูก
21. ความรุนแรงในครอบครัว
22. สามีภริยาทำร้ายร่างกายกัน
23. ความผิดต่อชีวิต

1. อยากมีคู่ต้องดูที่อายุด้วย (1 of 23)
หนุ่มสาวหรือวัยรุ่นมักใจร้อนอยากจดทะเบียนสมรสกันเร็วๆ แต่ในทางกฎหมายได้กำหนดเงื่อนไขเอาไว้ว่า ทั้งฝ่ายชายและฝ่ายหญิงจะต้องมีอายุครบ 17 ปีบริบูรณ์ จึงจะทำการสมรสกันได้ เว้นแต่มีเหตุอันสมควรก็ขอให้ศาลสั่งให้สามารถสมรสกันได้ ตัวอย่างเช่น นายเอกับนางสาวบี ทั้งคู่อายุ 15 ปี ทั้งสองรักกันมากและต้องการจดทะเบียนสมรสกันแต่ไม่สามารถทำได้เพราะกฎหมายไม่อนุญาต ในทางกลับกัน สมมุติว่านายเอกับนางสาวบีเกิดได้เสียกันและนางสาวบีได้ตั้งท้อง บิดาและมารดาของทั้งสองฝ่ายจึงต้องไปร้องขออนุญาตจากศาลให้ทำการสมรสกันได้ เป็นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1448

ปรึกษาทนาย 099 464 4445
ค้นหาข้อมูลสู้คดีที่ www.สู้คดี.com
……………………………………….

2. การหมั้นคืออะไร (2 of 23)
การหมั้น ในความเข้าใจของประชาชนทั่วไป หมายถึง การจองตัวไว้ก่อนที่จะมีการแต่งงานกัน หรือสมรสกันตามกฎหมาย แต่กฎหมายบัญญัติให้การหมั้นจะมีผลตามกฎหมายได้ การหมั้นนั้นจะกระทำได้เมื่อชายและหญิงมีอายุสิบเจ็ดปี บริบูรณ์ขึ้นไปเท่านั้น หากการหมั้นฝ่าฝืนโดยที่ชายหญิงที่หมั้นกันมีอายุไม่ถึงสิบเจ็ดปี การหมั้นนั้นตกเป็นโมฆะ และการหมั้นนั้นจะต้องได้รับความยินยอมจากผู้ปกครองด้วย ซึ่งอาจเป็นพ่อ แม่ หรือผู้มีอำนาจปกครองขณะนั้น ส่วนของหมั้นจะต้องมีการส่งมอบหรือโอนทรัพย์สินอันเป็นของหมั้นให้หญิงคู่หมั้นขณะที่ทำการหมั้นด้วย โดยฝ่ายชายเป็นผู้ส่งมอบของหมั้นเพื่อเป็นหลักฐานว่าจะสมรสกับหญิงนั้น หากส่งมอบให้ภายหลังการหมั้นไม่ถือว่าเป็นของหมั้น ทั้งนี้เป็นไปตามบทบัญญัติประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1435 มาตรา 1436 และมาตรา 1437 และเมื่อหมั้นแล้วให้ของหมั้นตกเป็นของหญิงทันที

ปรึกษาทนาย 099 464 4445
ค้นหาข้อมูลสู้คดีที่ www.สู้คดี.com
……………………………………….

3. การหมั้นสามารถบังคับให้อีกฝ่ายจดทะเบียนสมรสได้หรือไม่ (3 of 23)
กรณีเมื่อมีการหมั้นแล้ว หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ยอมสมรส อีกฝ่ายหนึ่งจะเรียกร้องให้ทำการสมรสด้วยไม่ได้ เพราะเหตุว่า การสมรสนั้นต้องเป็นการยินยอมที่จะอยู่กินฉันท์สามีภรรยากันด้วยความเต็มใจ ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1438 ที่บัญญัติว่า การหมั้นไม่เป็นเหตุที่จะร้องขอให้ศาลบังคับให้สมรสได้ แต่อย่างใดก็ดี ฝ่ายที่ผิดสัญญาไม่ทำการสมรส อีกฝ่ายหนึ่งมีสิทธิเรียกให้รับผิดใช้ค่าทดแทน รวมทั้งหากฝ่ายหญิงผิดสัญญาหมั้นให้คืนของหมั้นแก่ฝ่ายชายด้วย ตามบทบัญญัติประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1439

ปรึกษาทนาย 099 464 4445
ค้นหาข้อมูลสู้คดีที่ www.สู้คดี.com
……………………………………….

4. สินสอด (4 of 23)
สินสอด หมายถึง ทรัพย์สินที่ฝ่ายชายให้แก่พ่อ แม่ หรือผู้รับบุตรบุญธรรมหรือผู้ปกครองฝ่ายหญิง เพื่อตอบแทนการที่หญิงยอมสมรส เป็นไปตามบทบัญญัติประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1437 ดังนั้น สินสอดเป็นทรัพย์สิน เช่น เงิน ทองคำ หรืออาจเป็นทรัพย์สินอย่างอื่นที่ฝ่ายชายให้แก่พ่อ แม่ หรือผู้ปกครองหรืออาจเป็นผู้รับบุตรบุญธรรมของฝ่ายหญิง เป็นการตอบแทนที่ให้หญิงนั้นยอมสมรสกับตนเอง แต่เมื่อทำการหมั้นแล้ว หากฝ่ายหญิงไม่ทำการสมรสกับฝ่ายชายโดยผิดสัญญาหรือมีเหตุการณ์หรือพฤติการณ์บางอย่างที่ฝ่ายหญิงต้องรับผิด ทำให้ฝ่ายชายไม่ควรสมรสกับฝ่ายหญิง ฝ่ายชายสามารถเรียกสินสอดคืนได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1437 วรรคสอง และวรรคสามบัญญัติเอาไว้

ปรึกษาทนาย 099 464 4445
ค้นหาข้อมูลสู้คดีที่ www.สู้คดี.com
……………………………………….

5. เงื่อนไขการสมรส (5 of 23)การสมรส กฎหมายกำหนดเงื่อนไขไว้หลายประการ เช่น ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1448 บัญญัติไว้ว่า การสมรสจะทำได้เมื่อชายและหญิงนั้นมีอายุสิบเจ็ดปีบริบูรณ์แล้ว แต่ในกรณีที่มีเหตุอันสมควร ศาลอาจอนุญาตให้ทำการสมรสได้ ดังนั้น การสมรสจะกระทำได้เมื่อชายและหญิงมีอายุสิบเจ็ดปีทั้งสองฝ่าย แต่อย่างไรก็ดี หากมีเหตุที่จำเป็นอันสมควร ดังเช่น ชายและหญิงมีความสัมพันธ์กันก่อนมีอายุสิบเจ็ดปี หากหญิงเกิดตั้งครรภ์ขึ้นมา กรณีนี้อาจร้องต่อศาลขอทำการสมรสได้ ถือว่ามีเหตุอันสมควรตามกฎหมาย

ปรึกษาทนาย 099 464 4445
ค้นหาข้อมูลสู้คดีที่ www.สู้คดี.com
……………………………………….

6. การสมรสที่ถูกต้องตามกฎหมายทำอย่างไร (6 of 23)
การสมรสที่ถูกต้องตามกฎหมายก็คือ การที่ทั้งชายและหญิงต้องไปจดทะเบียนสมรสกันกับนายทะเบียนและต้องไปเปิดเผยต่อนายทะเบียนด้วยว่าตนยินยอมที่จะเป็นสามีภรรยากัน โดยที่นายทะเบียนต้องบันทึกการยินยอมไว้ด้วยหรือเรียกภาษาชาวบ้านว่า จดทะเบียนสมรส เมื่อกระทำครบถ้วนข้างต้นจึงจะถือว่า การจดทะเบียนสมรสกันถูกต้องตามกฎหมาย ถ้าหากมีการจัดงานแต่งงานเลี้ยงแขกอย่างยิ่งใหญ่แต่ไม่ไปจดทะเบียนสมรสกัน ก็ไม่ถือว่าเป็นสามีภรรยาตามกฎหมายและไม่เกิดสิทธิใดๆ ต่อกัน ซึ่งเป็นไปตามบทบัญญัติประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1457 และมาตรา 1458 (ติดตามโพตส์ต่อไป เรื่องการจดทะเบียนสมรสซ้อน)

ปรึกษาทนาย 099 464 4445
ค้นหาข้อมูลสู้คดีที่ www.สู้คดี.com
……………………………………….

7. การจดทะเบียนสมรสซ้อน (7 of 23)
การสมรสซ้อนเป็นกรณีที่คู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งซึ่งมีคู่สมรสอยู่แล้ว แต่ไปจดทะเบียนสมรสกับบุคคลอีกคนหนึ่งทั้งที่ตนเองมีคู่สมรสอยู่แล้ว ถือว่าการสมรสครั้งหลังนี้ตกเป็นโมฆะ ซึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1452 บัญญัติไว้ว่า ชายหรือหญิงจะทำการสมรสในขณะที่ตนมีคู่สมรสอยู่ไม่ได้ และมาตรา 1495 บัญญัติว่า การสมรสที่ฝ่าฝืนมาตรา 1452 ตกเป็นโมฆะ อย่างไรก็ดี การที่จะกระทำให้การสมรสครั้งหลังเป็นโมฆะโดยสมบูรณ์เพราะเหตุจดทะเบียนซ้อนนี้กฎหมายระบุให้ผู้ที่ได้รับความเสียหายหรือมีส่วนได้เสีย เช่น สามีหรือภรรยาของผู้ที่คู่สมรสของตนไปจดทะเบียนสมรสกับบุคคลอื่น ซึ่งได้รับความเสียหายโดยตรงกล่าวขึ้นอ้างต่อศาลและร้องต่อศาลว่าการสมรสเป็นโมฆะ ตามบทบัญญัติของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1497

ปรึกษาทนาย 099 464 4445
ค้นหาข้อมูลสู้คดีที่ www.สู้คดี.com
……………………………………….

8. ทรัพย์สินระหว่างสามีภรรยา (8 of 23)
ตามบทบัญญัติประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1470 ได้บัญญัติไว้ว่า ทรัพย์สินระหว่างสามีภรรยา นอกจากที่ได้แยกไว้เป็นสินส่วนตัวย่อมเป็นสินสมรส ดังนั้น เมื่อชายและหญิงสมรสกัน ซึ่งถือเสมือนว่าเป็นบุคคลคนเดียวกันในการดำรงชีวิต แต่อย่างไรก็ดี ทั้งสองฝ่ายอาจมีทรัพย์สินที่เป็นกรรมสิทธิ์ของตนมาก่อนที่จะสมรสกัน กฎหมายจึงได้แบ่งแยกทรัพย์สินของสามีภรรยาออกเป็นสองประการ คือ สินส่วนตัวและสินสมรส โดยที่สินส่วนตัวนั้นเป็นสิทธิ์ของแต่ละฝ่ายที่จะดูแลจัดการด้วยตนเอง ส่วนสินสมรสนั้นทั้งสองฝ่ายต้องดูแลและจัดการร่วมกัน

ทรัพย์สินระหว่างสามีภริยาความขัดแย้งเรื่องทรัพย์สินที่เกิดขึ้นระหว่างสามีภรรยา ไม่ว่าเกิดจากฝ่ายสามีกระทำกับภรรยา หรือเกิดจากฝ่ายภรรยากระทำกับสามี เช่น การขโมยเงิน และของมีค่า หรือฉ้อโกงหลอกลวงเงิน แม้กฎหมายถือว่าเป็นความผิด แต่ไม่ต้องรับโทษ เพราะกฎหมายมองว่าเป็นเหตุส่วนตัวที่สามารถยกโทษให้กันได้ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 71 ตัวอย่างเช่น สามีขโมยสร้อยคอทองคำซึ่งเป็นสินส่วนตัวของภรรยาไปขาย แม้สามีจะมีความผิดฐานลักทรัพย์ แต่กฎหมายก็มีเหตุยกเว้นโทษ เนื่องจากเป็นเหตุ ส่วนตัวที่สามารถยกโทษให้กันได้ เนื่องจากต้องการคุ้มครองความผาสุกของสามีภรรยาในระบบครอบครัวอันเป็นสถาบันพื้นฐานของสังคม แม้กฎหมายจะไม่เอาผิด แต่เรื่องในลักษณะนี้ถ้าไม่เกิดขึ้นย่อมจะเป็นผลดีกับทุกฝ่ายมากกว่า

ปรึกษาทนาย 099 464 4445
ค้นหาข้อมูลสู้คดีที่ www.สู้คดี.com
……………………………………….

9. สินสมรสคืออะไร (9 of 23)
คำว่าสินสมรส ก็คือทรัพย์สินที่สามีภรรยามีส่วนร่วมกันในทรัพย์สินนั้น การจัดการทรัพย์สินก็ต้องจัดการร่วมกัน ซึ่งเป็นไปตามบทบัญญัติประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1474 บัญญัติไว้ว่า สินสมรสได้แก่ทรัพย์สิน 1. ทรัพย์สินที่คู่สมรสได้มาระหว่างสมรส 2. ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้มาระหว่างสมรส โดยพินัยกรรมหรือโดยการให้เป็นหนังสือที่ระบุว่าเป็นสินสมรส 3. ทรัพย์สินที่เป็นดอกผลของสินส่วนตัว และมาตรา 1474 วรรคสอง ยังบัญญัติต่อไปอีกว่า กรณีที่สงสัยว่าทรัพย์สินเป็นสินสมรสหรือไม่ ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นสินสมรส ดังนั้น ทรัพย์สินที่จะเป็นสินสมรส ต้องไม่ใช่ทรัพย์สินที่มีมาก่อนสมรสนั้นเอง คือได้มาระหว่างสมรสอีกประการหนึ่ง กรณีหากฝ่ายหนึ่งมีทรัพย์สินส่วนตัว ต่อมามีดอกผลที่เกิดจากการใช้ทรัพย์เหล่านั้น เช่น ฝ่ายหญิงเลี้ยงสุนัขก่อนสมรส ต่อมาฝ่ายหญิงได้ทำการสมรสและสุนัขที่ได้เลี้ยงไว้นั้น ได้ให้กำเนิดลูกสุนัข ส่งผลให้ลูกสุนัขที่เกิดมาเป็นดอกผลที่เกิดขึ้นจากสินส่วนตัว แต่เนื่องจากเกิดขึ้นภายหลังการสมรส ดังนั้น ลูกสุนัขจึงกลายเป็นสินสมรสด้วย อีกกรณีหนึ่งที่เป็นสินสมรสก็คือคู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้ทรัพย์สินมาโดยพินัยกรรมหรือการให้เป็นหนังสือที่ระบุไว้ให้เป็นสินสมรส กรณีทั้งสามประการจึงเป็นสินสมรส ซึ่งสามีและภรรยาจะต้องจัดการดูแลร่วมกันหรือต้องได้รับยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่งจึงจะจัดการโดยลำพังได้ เป็นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1476 วรรคแรก

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1474 ได้แบ่งประเภทของสินสมรสไว้ 3 ประเภท ดังนี้ (1) ทรัพย์สินที่คู่สมรสได้มาระหว่างสมรส (2) ทรัพย์สินที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้มาระหว่างสมรสโดยพินัยกรรมหรือโดยการให้เป็นหนังสือเมื่อพินัยกรรมหรือหนังสือยกให้ระบุว่าเป็นสินสมรส และ (3) ทรัพย์สินที่เป็นดอกผลของสินส่วนตัว

ชีวิตคู่เป็นเรื่องของบุคคล 2 คน ที่ต้องแบ่งปันและใช้ชีวิตร่วมกัน แต่หากวันใดไม่สามารถใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันได้อีกต่อไปก็สามารถตกลงแยกทางกันได้ และสามารถแบ่งหรือโอนทรัพย์สินระหว่างคู่สมรสให้แก่กันได้ รวมทั้งหากมีหนี้สินร่วมกันก็ให้ชำระหนี้นั้นด้วยสินสมรสและสินส่วนตัวของทั้งสองฝ่าย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1489

ปรึกษาทนาย 099 464 4445
ค้นหาข้อมูลสู้คดีที่ www.สู้คดี.com
……………………………………….

10. การแบ่งสินสมรส (10 of 23)
เมื่อการสมรสสิ้นสุดลงด้วยการหย่า ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1533 บัญญัติให้แบ่งสินสมรสให้ชายและหญิงเท่าๆ กัน และมาตรา 1535 ได้บัญญัติเกี่ยวกับหน้าที่และความรับผิดของหญิงชายภายหลังการสมรสสิ้นสุดลงไว้ว่า ให้แบ่งความรับผิดในหนี้ตามส่วนเท่ากันตามบทบัญญัติดังกล่าว สรุปได้ว่าเมื่อการสมรสสิ้นสุดลงให้ชายและหญิงที่หย่ากันแบ่งสินสมรสกันคนละครึ่งในส่วนที่เท่ากัน ส่วนความรับผิดเกี่ยวกับหนี้ที่เกิดขึ้นในระหว่างเป็นสามีภรรยากันนั้นก็ต้องรับผิดในส่วนเท่าๆ กันเช่นกัน ยกเว้นหนี้ที่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดสร้างขึ้นเป็นหนี้ส่วนตัวโดยแท้ไม่เกี่ยวกับสินสมรส ทั้งนี้ฝ่ายที่ก่อหนี้ต้องรับผิดเองเป็นการส่วนตัว
(โปรดติดตามโพสต์ต่อไป เรื่องสินส่วนตัว)

ปรึกษาทนาย 099 464 4445
ค้นหาข้อมูลสู้คดีที่ www.สู้คดี.com
……………………………………….

11. สินส่วนตัวคืออะไร (11 of 23)
คำว่า สินส่วนตัว ตามบทบัญญัติประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1471 ได้กำหนด สินส่วนตัวไว้ดังนี้ 1. ทรัพย์สินที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีอยู่ก่อนสมรส 2. เครื่องใช้ส่วนตัว เครื่องแต่งกายตามฐานะเครื่องมือประกอบวิชาชีพ 3. ทรัพย์สินที่ฝ่ายหนึ่งได้มาระหว่างสมรสโดยรับมรดกหรือการให้โดยเสน่หา 4. ทรัพย์สินที่เป็นของหมั้น อย่างไรก็ดีหากสินส่วนตัว มีการนำไปแลกเปลี่ยนหรือขายหรือซื้อได้มา ซึ่งทรัพย์สินอื่นที่ได้มาแทนนั้น ก็ยังเป็นสินส่วนตัวของฝ่ายนั้นเช่นเดิม ตามบทบัญญัติประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1472

ปรึกษาทนาย 099 464 4445
ค้นหาข้อมูลสู้คดีที่ www.สู้คดี.com
……………………………………….

12. หนี้ต้องรับ ทรัพย์ต้องแบ่ง (12 of 23)
เมื่อคู่สมรสที่เคยรักกันต้องสิ้นสุดความสัมพันธ์กันแล้ว นอกจากสินสมรสที่ต้องแบ่งให้เท่าๆ กันแล้ว ในส่วนของหนี้สินที่เกิดมาร่วมกันระหว่างสมรสก็ต้องร่วมกันรับผิดชอบไปในส่วนเท่าๆ กันด้วย ตัวอย่างเช่น นายสมโชคได้จดทะเบียนหย่าร้างกับนางสมพร โดยทั้งคู่มีเงินสดอยู่ 500,000 บาทที่เป็นสินสมรส ขณะเดียวกันนายสมโชคก็มีหนี้อยู่ 100,000 บาทที่เกิดจากไปกู้ยืมเงิน ซึ่งเป็นค่าใช่จ่ายในการเรียนของลูก ต่อมาเมื่อทั้งคู่หย่าร้างกันจะต้องแบ่งสินสมรสกันคนละ 250,000 บาท ขณะเดียวกันนางสมพรจะต้องช่วยรับผิดชอบหนี้จำนวนดังกล่าวที่นายสมโชคก่อขึ้นระหว่างสมรสจำนวนครึ่งหนึ่ง หรือ 50,000 บาท ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1533 มาตรา 1535

ปรึกษาทนาย 099 464 4445
ค้นหาข้อมูลสู้คดีที่ www.สู้คดี.com
……………………………………….

13. การมีบุตรที่พ่อแม่ไม่ได้จดทะเบียนสมรส (13 of 23)
การที่ชายและหญิงอยู่กินฉันท์สามีกรรยา แต่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสและมีบุตรเกิดขึ้นมา บุตรนั้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1546 บัญญัติหลักกฎหมายไว้ว่า เด็กที่เกิดจากหญิงที่มิได้สมรสกับชาย ให้ถือว่าเป็นบุตรโดยชอบของหญิงนั้น เว้นแต่จะมีกฎหมายบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น ดังนั้นการที่หญิงและชายอยู่กินฉันท์สามีภรรยา เมื่อมีบุตรขึ้นมากฎหมายให้ถือว่าเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของหญิงนั้น แต่อย่างไรก็ดี เด็กที่เกิดขึ้นมานั้นจะเป็นบุตรโดยชอบของชายได้ก็ต่อเมื่อ ชายและหญิงนั้นสมรสกันในภายหลัง หรือบิดาจดทะเบียนว่าเป็นบุตรหรือศาลพิพากษาว่าเป็นบุตร และในกรณีหลังนี้กฎหมายให้มีผลแก่บุตรย้อนไปถึงวันที่บุตรเกิด โดยถือว่าชายนั้นเป็นบิดาโดยชอบด้วยกฎหมายของบุตรนับแต่วันที่เด็กเกิด ซึ่งเป็นไปตามบทบัญญัติประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1547 และมาตรา 1557

ปรึกษาทนาย 099 464 4445
ค้นหาข้อมูลสู้คดีที่ www.สู้คดี.com
……………………………………….

14. การรับบุตรบุญธรรม (14 of 23)
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1598/19 และมาตรา 1598/20 ได้วางกฎเกณฑ์ตามกฎหมายการรับบุตรบุญธรรมไว้ว่า บุคคลที่ต้องการรับบุคคลอื่นเป็นบุตรบุญธรรมนั้น ต้องมีอายุไม่ต่ำกว่ายี่สิบห้าปี และต้องมีอายุแก่กว่าผู้ที่จะเป็นบุตรบุญธรรมอย่างน้อยสิบห้าปี และหากบุตรบุญธรรมอายุไม่ต่ำกว่าสิบห้าปี ผู้นั้นต้องให้ความยินยอมด้วย นอกจากนี้ หากผู้ที่จะเป็นบุตรบุญธรรมเป็นผู้เยาว์และมีพ่อแม่ผู้ปกครองอยู่ ต้องได้รับการยินยอมจากบุคคลเหล่านั้นด้วย เป็นไปตามบทบัญญัติ มาตรา 1598/21 อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่ผู้รับบุตรบุญธรรมมีคู่สมรส ต้องให้คู่สมรสยินยอมในการรับบุตรบุญธรรมด้วย ตามบทบัญญัติ มาตรา 1598/25 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

ปรึกษาทนาย 099 464 4445
ค้นหาข้อมูลสู้คดีที่ www.สู้คดี.com
……………………………………….

15. สิทธิของผู้รับบุตรบุญธรรม (15 of 23)
กรณีรับบุตรบุญธรรมนั้น ทำให้ผู้ที่รับบุตรบุญธรรมมีสิทธิเป็นผู้ปกครองแทนบิดามารดาหรือผู้ปกครองเดิมนับแต่รับบุตรบุญธรรม โดยทำหน้าที่อบรมสั่งสอน อุปการะเลี้ยงดู ให้การศึกษา ตลอดจนช่วยเหลือเกื้อกูลบุตรบุญธรรมเสมือนบุตรที่แท้จริงของตน ตามหน้าที่ เช่นบิดา มารดาทั่วไปพึงกระทำ แต่การเป็นผู้รับบุตรบุญธรรมไม่ทำให้เกิดสิทธิในการรับมรดกของบุตรบุญธรรมในฐานะทายาทโดยธรรมแต่อย่างใด ซึ่งเป็นไปตามบทบัญญัติประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1598/29

ปรึกษาทนาย 099 464 4445
ค้นหาข้อมูลสู้คดีที่ www.สู้คดี.com
……………………………………….

16. สิทธิขอบบุตรบุญธรรม (16 of 23)
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1598/28 ได้กำหนดให้สิทธิผู้ที่เป็นบุตรบุญธรรม ไว้ว่า บุตรบุญธรรมจะมีฐานะเช่นเดียวกับบุตรชอบด้วยกฎหมายของผู้รับบุตรบุญธรรมกล่าวคือ มีสิทธิเช่นเดียวกับบุตรชอบด้วยกฎหมาย มีสิทธิได้รับการอุปการะเลี้ยงดูและมีสิทธิได้รับมรดกตกทอดเสมือนทายาทชั้นบุตรของผู้รับบุตรบุญธรรมทุกประการแต่ก็ไม่เสียสิทธิและหน้าที่ในครอบครัวที่ได้กำเนิดมาแต่เดิม เช่น มีสิทธิในการรับมรดกตกทอดจากบิดามารดาทายาทเดิม เพียงแต่อำนาจในการปกครองตกอยู่ในอำนาจของผู้รับบุตรบุญธรรม บิดามารดาหมดอำนาจปกครองนับแต่เด็กตกเป็นบุตรบุญธรรมของผู้รับบุตรบุญธรรม

ปรึกษาทนาย 099 464 4445
ค้นหาข้อมูลสู้คดีที่ www.สู้คดี.com
……………………………………….

17. การเป็นบุตรบุญธรรมที่ถูกต้องตามกฎหมาย (17 of 23)
การที่จะเป็นบุตรบุญธรรมโดยถูกต้องและสมบูรณ์ตามกฎหมายนั้น จะต้องนำไปจดทะเบียนและต้องปฏิบัติให้ครบถ้วนตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ด้วย เป็นไปตามบทบัญญัติประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1598/21 สำหรับกรณีของผู้เยาว์ที่เป็นบุตรบุญธรรมของบุตรคนอื่นอยู่ จะไปขอเป็นบุตรบุญธรรมของบุคคลอื่นอีกไม่ได้ ยกเว้นจะเป็นบุตรบุญธรรมของคู่สมรสของผู้รับบุตรบุญธรรมของตนซึ่งเป็นไปตามบทบัญญัติประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1598/26

ปรึกษาทนาย 099 464 4445
ค้นหาข้อมูลสู้คดีที่ www.สู้คดี.com
……………………………………….

18. ชื่อสกุลนั้นสำคัญไฉน (18 of 23)
ชื่อสกุลหลักการหย่า กฎหมายไทยในปัจจุบัน เปิดโอกาสให้คู่สามีภรรยาสามารถเลือกใช้นามสกุลได้อย่างเสรี จะเลือกใช้ของสามี ของภรรยา หรือต่างคนต่างใช้นามสกุลของใครของมันก่อนจดทะเบียนสมรสก็ได้ อย่างไรก็ดี หากการสมรสดังกล่าวมิได้ราบรื่นอีกต่อไป ต้องจบลงด้วยการเลิกราไม่ว่าจะเป็นเพราะจดทะเบียนหย่าโดยความสมัครใจของทั้งคู่ หย่าตามคำพิพากษาให้เพิกถอนการสมรส เช่น การสมรสโมฆะ เพราะการสมรสซ้อน เหล่านี้ หากคู่สมรสดังกล่าวเคยตกลงที่จะใช้นามสกุลของฝ่ายใดร่วมกันแล้ว เมื่อหย่าร้างหรือศาลเพิกถอนการสมรส ข้อตกลงใช้นามสกุลร่วมกันก็เป็นอันสิ้นสุด และแต่ละฝ่ายก็ต้องเปลี่ยนกลับไปใช้นามสกุลเดิมของตนก่อนจดทะเบียนสมรส

ชื่อสกุลหลังคู่สมรสเสียชีวิต
กฎหมายไทยในปัจจุบันเปิดโอกาสให้คู่สามีภรรยาสามารถเลือกใช้นามสกุลได้อย่างเสรี จะเลือกใช้ของสามี ของภรรยาหรือต่างคนต่างใช้นามสกุลของตนต่อไปก็ได้ อย่างไรก็ดีหากคู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งถึงแก่ความตายเป็นเหตุให้การสมรสดังกล่าวสิ้นสุดลงตัวอย่างเช่น นายสมชาย หอมจับจิตสมรสกับนางสาวสมหญิง หอมสุดใจทั้งคู่ตกลงร่วมกันใช้นามสกุลของสามีสมหญิงจึงเปลี่ยนนามสกุลเป็น หอมจับจิต ตามนามสกุลของสมชาย ต่อมาสมชายถึงแก่ความตาย เช่นนี้ สมหญิงมีสองทางเลือกคือ จะใช้นามสกุลหอมจับจิตของอดีตสามีต่อไปก็ได้ และใช้ได้ตลอดไปตราบเท่าที่สมหญิงไม่ได้สมรสใหม่ หรือสมหญิงอาจจะเลือกเปลี่ยนกลับไปใช้นามสกุลเดิมของตนก่อนการสมรสก็ได้

ชื่อสกุลของหญิงทีสามี
แต่ก่อนแต่ไรมา พระราชบัญญัติชื่อบุคคล พ.ศ. 2505 กำหนดบังคับไว้ว่า หญิงมีสามีต้องใช้นามสกุลของสามีเท่านั้น จะใช้นามสกุลเดิมของตนก่อนสมรสไม่ได้ หรือแม้จะใช้นามสกุลอื่นให้ผิดแผกแตกต่างไปจากนามสกุลที่สามีใช้อยู่ก็ไม่ได้ ทางออก ณ ขณะนั้นก็คือ หญิงมีสามีทั้งหลายเลี่ยงไปใช้นามสกุลเดิมของตนในฐานะที่เป็นชื่อรอง อย่างไรก็ดี เมื่อปี 2546 ศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยแล้วว่า บทบังคับให้หญิงมีสามีต้องใช้นามสกุลของสามีดังกล่าว เข้าข่ายเป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อสตรี เพราะจัดให้มีสถานะทางกฎหมายที่ด้อยกว่าสามี เป็นการเลือกปฏิบัติระหว่างหญิงกับชาย ขัดต่อหลักความเสมอภาค จึงเป็นอันใช้บังคับมิได้ และนับแต่นั้นมา ผู้หญิงก็มีทางเลือกมากขึ้น

เมื่อศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยว่า พระราชบัญญัติชื่อบุคคล พ.ศ. 2505 มาตราที่กำหนดบังคับให้หญิงมีสามีต้องใช้ชื่อสกุลของสามีขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ เพราะละเมิดหลักความเสมอภาคระหว่างชายและหญิงคำวินิจฉัยดังกล่าวก็นำมาสู่การแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายชื่อบุคคลกันอีกครั้งเมื่อปี 2548 เปลี่ยนแปลงให้สิทธิแก่ทั้งหญิงและชายได้มีทางเลือกมากยิ่งขึ้นดังนี้ไม่ว่าชายหรือหญิงเมื่อจดทะเบียนสมรสแล้ว จะใช้นามสกุลใด อย่างไร ให้เป็นไปตามที่ทั้งคู่เลือกและตกลง ซึ่งก็มีอยู่ 3 ทางเลือก ทางแรก ต่างฝ่ายต่างใช้นามสกุลเดิมของตนก่อนสมรส ไม่เปลี่ยนแปลง ทางที่สอง เปลี่ยนไปใช้นามสกุลของสามีหรือไม่ก็ทางเลือกที่สามคือคู่สมรสทั้งสองฝ่ายเลือกใช้นามสกุลของภรรยา

กฎหมายชื่อบุคคลของไทยที่ใช้อยู่ในปัจจุบันนับว่าเป็นหนึ่งในกฎหมายที่ก้าวหน้า เพราะว่าให้สิทธิเสรีภาพแก่สตรีเท่าเทียมบุรุษ ในการเลือกใช้นามสกุลภายหลังการสมรส แตกต่างจากเดิมที่บังคับให้หญิงมีสามีต้องใช้นามสกุลของสามีเท่านั้น แต่กฎหมายปัจจุบัน ให้คู่สมรสทั้งสองฝ่ายสามารถตกลงกันได้ว่า จะใช้นามสกุลของฝ่ายใด หรือแม้แต่ ต่างฝ่ายต่างใช้นามสกุลเดิมของตนเองก็ได้ การตกลงของคู่สมรสเพื่อเลือกใช้นามสกุลเช่นนี้ จะตกลงตั้งแต่แรกเริ่มเมื่อครั้งจดทะเบียนสมรส หรือตกลงกันในภายหลัง และก็อาจเปลี่ยนใจเปลี่ยนข้อตกลงเดิมเมื่อใดก็ได้ เช่น ตอนจดทะเบียนสมรส ทั้งคู่เลือกใช้นามสกุลของสามี แต่ต่อมา ทั้งคู่เปลี่ยนใจเปลี่ยนไปใช้นามสกุลของภรรยา หรืออาจจะตกลงกันใหม่ต่างฝ่ายต่างใช้นามสกุลเดิมของใครของมันก็ได้

ชื่อสกุลของเด็กในการอุปการะ
เด็กบางคนเกิดมาอาภัพ บ้างทั้งพ่อและแม่ต่างเสียชีวิตทั้งคู่ ไม่มีญาติอุปการะเลี้ยงดู บ้างก็ถูกพ่อแม่ทอดทิ้ง รัฐจึงมีหน้าที่ตามหลักมนุษยธรรมนำเด็กเหล่านั้นไปอุปการะ ให้การศึกษา ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า บางครั้งเด็กเหล่านี้ไม่มีแม้แต่นามสกุล จะสืบเสาะหาญาติพี่น้อง ก็ไม่พบใคร ด้วยเหตุนี้พระราชบัญญัติชื่อบุคคล พ.ศ. 2505 จึงเปิดช่องให้ผู้อุปการะเลี้ยงดูเด็กเจ้าของสถานพยาบาล สถานสงเคราะห์ หรือสถานอุปการะเลี้ยงดูเด็ก สามารถจดทะเบียนตั้งชื่อสกุลของเด็กที่อยู่ในความอุปการะหรือความดูแลดังกล่าวได้ ในการนี้ อาจตั้งไว้หลายนามสกุลก็ได้และเมื่อใดก็ตาม มีเด็กสัญชาติไทยซึ่งไม่มีนามสกุลเข้ามาอยู่ในความดูแลของสถานที่แห่งนั้น ก็สามารถเลือกกำหนดชื่อสกุลให้แก่เด็กคนนั้นได้

ปรึกษาทนาย 099 464 4445
ค้นหาข้อมูลสู้คดีที่ www.สู้คดี.com
……………………………………….

กฎหมายครอบครัว (ต่อ 19-23)

19. ความผิดฐานทอดทิ้งลูก (19 of 23)
บ่อยครั้งที่มีการนำเสนอข่าวเด็กถูกทอดทิ้งตามสถานที่ต่างๆโดยปราศจากผู้ปกครองดูแลอันเนื่องมาจากปัญหาครอบครัวแตกแยก การตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์ ครอบครัวมีฐานะยากจน หรือพ่อ แม่หย่าร้างกัน ซึ่งพ่อแม่ที่ทอดทิ้งลูกตัวเอง นอกจากจะไม่มีความรู้สึกรับผิดชอบทางศีลธรรมแล้ว ยังถือเป็นความผิดทางกฎหมายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 306 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกพันบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ

จากสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป อันเป็นผลมาจากการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม วัฒนธรรม และอื่นๆ ส่งผลให้บทบาทความสัมพันธ์ระหว่างครอบครัวลดน้อยลง ประกอบกับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีเข้ามาแทรกแซงจนบางครอบครัวละเลยขาดการเหลียวแลเอาใจใส่ต่อคนใกล้ชิดหรือบุพการี และมีหลายกรณีที่ทอดทิ้งให้อยู่ตามลำพังในยามเจ็บmป่วย ชรา เป็นต้น ซึ่งการกระทำดังกล่าวถือเป็นความผิดฐานทอดทิ้งเด็ก คนป่วยเจ็บ หรือคนชรา ว่าด้วยผู้ใดมีหน้าที่ตามกฎหมายหรือตามสัญญาต้องดูแลผู้ซึ่งพึ่งตนเองมิได้เพราะอายุ ความเจ็บป่วยกายพิการ หรือจิตพิการ ทอดทิ้งผู้ซึ่งพึ่งตนเองมิได้นั้นเสีย โดยประการที่น่าจะเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่ชีวิต ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 307 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกพันบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ

ปรึกษาทนาย 099 464 4445
ค้นหาข้อมูลสู้คดีที่ www.สู้คดี.com
……………………………………….


20. ความผิดฐานแท้งลูก (20-23)
การมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควรของวัยรุ่น นำไปสู่ปัญหาการตั้งครรภ์และผลเสียต่างๆ ตามมาอย่างมากมาย สิ่งหนึ่งมาจากการรู้เท่าไม่การณ์หรือเพราะความประมาท รวมถึงการขาดการเอาใจใส่จากครอบครัวและการขาดแคลนโอกาสทางการศึกษา สาเหตุเหล่านี้เป็นปัญหาต้นๆ ที่ต้องรีบแก้ไขและให้ความรู้ความเข้าใจแก่นักเรียน นักศึกษา ให้มากขึ้น เพื่อป้องกันการทำแท้ง เพราะหากหญิงใดทำให้ตนแท้งลูกหรือยอมให้คนอื่นทำให้ตนแท้งลูกถือว่าหญิงนั้นหรือผู้กระทำนั้นได้กระทำผิดฐานทำให้แท้งลูก ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 301 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

สถานบริการหรือคลินิกที่เปิดให้บริการรับปรึกษาการตั้งครรภ์ ที่ได้จดขึ้นทะเบียนอย่างถูกต้องตามกฎหมาย บางครั้งหลายๆ สถานบริการ ยังเป็นสถานที่ให้บริการรับทำแท้งลูกให้กับหญิงสาวที่ยังไม่พร้อมมีบุตรหรือพลาดพลั้งมีเพศสัมพันธ์กับคนรักแล้วไม่ได้ป้องกันทำให้เกิดการตั้งครรภ์ก่อนวัยอันควร ซึ่งกลุ่มหญิงเหล่านี้มักจะหาสถานบริการหรือผู้ให้บริการเถื่อนทำแท้งลูกให้ ซึ่งถือว่าการทำให้หญิงแท้งลูกโดยหญิงยินยอมผิดกฎหมายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 302 ฐานความผิดผู้ใดทำให้หญิงแท้งลูกโดยหญิงนั้นยินยอม ต้องระวางจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

การทำแท้งถือเป็นความผิดตามกฎหมายไทย แต่คงปฏิเสธไม่ได้ว่าการทำแท้งมีมาตลอดทุกยุค ทุกสมัย ซึ่งมีสาเหตุทางสังคมหลายประการ อาทิ ฝ่ายชายไม่รับผิดชอบ ยังไม่ได้สมรส อยู่ในวัยเรียน เป็นต้น นอกจากนี้ ยังไม่รวมไปถึงการกระทำอันมีผลให้ผู้อื่นแท้งลูกโดยไม่ยินยอม ซึ่งถือเป็นการกระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 303 วรรค 1 ในฐานความผิดผู้ใดทำให้หญิงแท้งลูกโดยหญิงนั้นไม่ยินยอม ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินเจ็ดปีหรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นสี่พันบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ

ปรึกษาทนาย 099 464 4445
ค้นหาข้อมูลสู้คดีที่ www.สู้คดี.com
……………………………………….  

21. ความรุนแรงในครอบครัว (21 of 23)
การทำร้ายร่างกายของกันและกันระหว่างสามีและภรรยา ถือเป็น “ความรุนแรงในครอบครัว” ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ.2550 มาตรา 3 หมายความว่า การกระทำใด ๆ โดยมุ่งประสงค์เกิดอันตรายแก่ร่างกาย จิตใจ หรือสุขภาพ หรือกระทำโดยเจตนาในลักษณะ ที่น่าจะก่อให้เกิดอันตรายแก่ร่างกาย จิตใจ หรือสุขภาพของบุคคลในครอบครัว หรือบังคับหรือใช้อำนาจครอบงำผิดคลองธรรมให้บุคคลในครอบครัวต้องกระทำการ ไม่กระทำการ หรือยอมรับการกระทำอย่างหนึ่งอย่างใด โดยมิชอบ แต่ไม่รวมถึงการกระทำโดยประมาท ส่วน“บุคคลในครอบครัว” หมายความว่า คู่สมรส คู่สมรสเดิม ผู้ที่อยู่กินหรือเคยอยู่กินฉันสามีภรรยา โดยมิได้จดทะเบียนสมรส บุตร บุตรบุญธรรม สมาชิกในครอบครัว รวมทั้งบุคคลใดๆ ที่ต้องพึ่งพาอาศัยและอยู่ในครัวเรือนเดียวกัน และในมาตรา4 ยังบัญญัติว่า ผู้ใดกระทำการอันเป็นความรุนแรงในครอบครัว ผู้นั้นกระทำความผิดฐานกระทำความรุนแรงในครอบครัว ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 6,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
โดยสรุป คือ กฎหมายห้ามบุคคลใดใช้ความรุนแรงกับสมาชิกในครอบครัวซึ่งจะมีความผิดฐานกระทำความรุนแรงในครอบครัว จำคุกไม่เกิน 6 เดือนหรือปรับไม่เกิน 6 พันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ โดยความผิดข้อหานี้สามารถยอมความกันได้และมีอายุความ 3 เดือนนับแต่ผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัวอยู่ในวิสัยและมีโอกาสที่จะแจ้งความหรือร้องทุกข์ได้ ซึ่งเป็นไปตามมาตรา 7 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว

ปัญหาความรุนแรงในครอบครัวเป็นอีกหนึ่งปัญหาสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อสังคมโดยรวม ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือจากบุคคลในครอบครัว รวมทั้งทุกภาคส่วนในสังคมร่วมกันรณรงค์และป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาดังกล่าว โดยกำหนดบทลงโทษสำหรับผู้ที่กระทำการอันเป็นความรุนแรงในครอบครัวแม้จะอยู่ในสถานะเป็นสามี ภรรยากันก็ตาม ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินหกพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว พุทธศักราช 2550 มาตรา 4
บางครอบครัวที่มีการทำร้ายร่างกายกันอย่างรุนแรงตามที่นำเสนอทางสื่อหนังสือพิมพ์ โทรทัศน์ ฯลฯ จนถึงขั้นฟ้องศาลให้ผู้กระทำความรุนแรงในครอบครัวชดใช้เงินช่วยเหลือบรรเทาทุกข์เบื้องต้นตามความสมควร หรือร้องขอให้มีการคุ้มครองเพื่อบรรเทาทุกข์ต่อผู้ถูกกระทำในครอบครัว โดยห้ามผู้กระทำความรุนแรงในครอบครัวเข้าไปในที่พำนักของครอบครัวหรือเข้าใกล้ตัวบุคคลใดในครอบครัว หากผู้กระทำความรุนแรงฝ่าฝืนคำสั่งดังกล่าวของเจ้าพนักงาน ถือเป็นความผิดตามมาตรา 10 แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว พุทธศักราช 2550 มีโทษจำคุกไม่เกินสามเดือน หรือปรับไม่เกินสามพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ปรึกษาทนาย 099 464 4445
ค้นหาข้อมูลสู้คดีที่ www.สู้คดี.com
……………………………………….

22. สามีภริยาทำร้ายร่างการกัน (22 of 23)
การทำร้ายร่างกายของกันและกันระหว่างสามีและภรรยา ถือเป็น “ความรุนแรงในครอบครัว” ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ.2550 มาตรา 3 หมายความว่า การกระทำใด ๆ โดยมุ่งประสงค์เกิดอันตรายแก่ร่างกาย จิตใจ หรือสุขภาพ หรือกระทำโดยเจตนาในลักษณะ ที่น่าจะก่อให้เกิดอันตรายแก่ร่างกาย จิตใจ หรือสุขภาพของบุคคลในครอบครัว หรือบังคับหรือใช้อำนาจครอบงำผิดคลองธรรมให้บุคคลในครอบครัวต้องกระทำการ ไม่กระทำการ หรือยอมรับการกระทำอย่างหนึ่งอย่างใด โดยมิชอบ แต่ไม่รวมถึงการกระทำโดยประมาท ส่วน“บุคคลในครอบครัว” หมายความว่า คู่สมรส คู่สมรสเดิม ผู้ที่อยู่กินหรือเคยอยู่กินฉันสามีภรรยา โดยมิได้จดทะเบียนสมรส บุตร บุตรบุญธรรม สมาชิกในครอบครัว รวมทั้งบุคคลใดๆ ที่ต้องพึ่งพาอาศัยและอยู่ในครัวเรือนเดียวกัน และในมาตรา4 ยังบัญญัติว่า ผู้ใดกระทำการอันเป็นความรุนแรงในครอบครัว ผู้นั้นกระทำความผิดฐานกระทำความรุนแรงในครอบครัว ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 6,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
โดยสรุป คือ กฎหมายห้ามบุคคลใดใช้ความรุนแรงกับสมาชิกในครอบครัวซึ่งจะมีความผิดฐานกระทำความรุนแรงในครอบครัว จำคุกไม่เกิน 6 เดือนหรือปรับไม่เกิน 6 พันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ โดยความผิดข้อหานี้สามารถยอมความกันได้และมีอายุความ 3 เดือนนับแต่ผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัวอยู่ในวิสัยและมีโอกาสที่จะแจ้งความหรือร้องทุกข์ได้ ซึ่งเป็นไปตามมาตรา 7 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว

ปรึกษาทนาย 099 464 4445
ค้นหาข้อมูลสู้คดีที่ www.สู้คดี.com
……………………………………….

23. ความผิดต่อชีวิต (23 of 23)
การทะเลาะวิวาท การมีปากเสียงถึงขั้นตบตี หรือชกต่อยกันด้วยโมหะ โทสะที่ปรากฏในกลุ่มวัยรุ่นหรือครอบครัวทำให้สร้างความเดือดร้อนถึงขั้นบาดเจ็บ หรือส่งผลให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ถือว่าบุคคลนั้นได้กระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 290 ว่าด้วยผู้ใดมิได้มีเจตนาฆ่า แต่ทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ผู้นั้นถึงแก่ความตาย ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบห้าปี

ปรึกษาทนาย 099 464 4445
ค้นหาข้อมูลสู้คดีที่ www.สู้คดี.com
********************************************** 


กฎหมายแรงงาน
1. กฎหมายแรงงานจ้างแรงงานกับจ้างทำของ แตกต่างกันอย่างไร
2. ความสัมพันธ์ระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง
3. คนทำงานต้องเสียภาษี
4. ตกงาน อย่าตกใจ
5. แรงงานเถื่อน นายจ้างควรระวัง
6. เลิกจ้างโดยลูกจ้าง
7. นายจ้างไม่จ่ายเงินเดือน ลูกจ้างควรทำอย่างไร
8. สิทธิของลูกจ้างหลังเลิกจ้าง
9. ประกันสังคมที่นายจ้างต้องปฎิบัติ
10. เงินทดแทน
11. นายจ้างเรียกหลักค้ำประกันการทำงานของลูกจ้างได้หรือไม่
12. ลูกจ้างอยากทำงานล่วงเวลาเกิน 36 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ได้หรือไม่
13. อยากทำธุรกิจจัดหางานต้องทำอย่างไร
14. ทำธุรกิจจัดหางานเถื่อนมีโทษหนัก

ขอบคุณข้อมูลจากเพจรู้หมดกฎหมาย
มีปัญหาปรึกษาทนายใกล้คุณ 099 464 4445 
ค้นหาข้อมูลสู้คดีได้ที่เวปไซต์นี้ www.ใกล้คุณ.com  …………………………………………………

1. จ้างแรงงานกับจ้างทำของ แตกต่างกันอย่างไร (1 of 14)
การจ้างแรงงาน คือ สัญญาซึ่งบุคคลหนึ่งเรียกว่าลูกจ้างตกลงทำงานให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่ง เรียกว่านายจ้าง โดยที่ลูกจ้างต้องอยู่ในการกำกับดูแลภายใต้การบังคับบัญชาของนายจ้าง และนายจ้างตกลงจะให้ค่าจ้างเป็นค่าตอบแทนตลอดเวลาที่ทำงานให้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 575 นอกจากนี้ การจ้างแรงงานต้องอยู่ภายใต้ข้อบังคับตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พุทธศักราช 2541 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ว่าด้วยการคุ้มครองสิทธิประโยชน์ของลูกจ้างที่พึงได้ตามกฎหมายอีกด้วย
สำหรับการจ้างทำของ คือ สัญญาของบุคคลหนึ่งเรียกว่าผู้รับจ้าง ตกลงจะทำงานสิ่งหนึ่งสิ่งใด จนสำเร็จให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่งเรียกว่าผู้ว่าจ้าง และผู้ว่าจ้างตกลงจะให้สินจ้างเพื่อผลสำเร็จของงานนั้นดังนั้นการจ้างทำของ เป็นกรณีที่ต้องการผลความสำเร็จของงาน โดยผู้ว่าจ้างจะจ่ายค่าตอบแทนให้เมื่อผู้รับจ้างทำงานที่ว่าจ้างสำเร็จ ทั้งนี้ ผู้รับจ้างทำงานไม่ต้องอยู่ในการบังคับบัญชาของผู้ว่าจ้างแต่อย่างใด เป็นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 587

ปรึกษาทนายสู้คดี 099 464 4445
ค้นหาทนายได้ที่เวปไซต์นี้ www.สู้คดี.com 
……………………………………………………..

2. ความสัมพันธ์ระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง  (2 of 14)
นายจ้าง เป็นผู้ที่รับลูกจ้างเข้าทำงานและจ่ายค่าจ้างให้แก่ลูกจ้างโดยตรงนอกจากนี้ พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พุทธศักราช 2541 ยังกำหนดให้บุคคลที่มีอำนาจกระทำการแทนนายจ้าง ซึ่งอาจจะเป็นกรรมการผู้จัดการ หุ้นส่วนผู้จัดการ รวมทั้งบุคคลที่นายจ้างมอบหมายให้ดำเนินการต่างๆ โดยมีอำนาจบังคับบัญชาแทนนายจ้าง ย่อมถือว่าเป็นนายจ้างด้วยเช่นกัน แต่หากคำสั่งที่ได้มอบหมายจากนายจ้างขัดต่อกฎหมาย ย่อมถือว่าคำสั่งนั้นเป็นคำสั่งของนายจ้างโดยตรง

สำหรับลูกจ้าง หมายถึง บุคคลผู้ซึ่งตกลงทำงานให้นายจ้าง โดยรับค่าจ้างเป็นการตอบแทน ทั้งนี้ลูกจ้างต้องเป็นบุคคลธรรมดาเท่านั้น ห้ามเป็นการจ้างนิติบุคคล หรือองค์กร ไม่ว่าจะเป็นลูกจ้างชั่วคราวลูกจ้างประจำ และไม่ว่าจะมีกำหนดระยะเวลาการจ้างหรือไม่ก็ตาม ผู้เป็นลูกจ้างจะได้รับคุ้มครองจากพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงานเช่นกัน

มีปัญหาปรึกษาทนายใกล้คุณ 099 464 4445
ค้นหาทนายใกล้คุณได้ที่เวปไซต์นี้ www.ทนายใกล้คุณ.com 
*********************************


3. คนทำงานต้องเสียภาษี (3 of 14)
หน้าที่สำคัญอย่างหนึ่งของประชาชนไทยที่มีรายได้ ก็คือจะต้องเสียภาษี ให้กับรัฐบาล เพื่อที่รัฐบาลจะนำเอาเงินนั้นไปบำรุงและพัฒนาประเทศ บางคนคิดว่าเรื่องภาษี หรือตัวเลขเป็นเรื่องยุ่งยากวุ่นวาย ไม่อยากเกี่ยวข้อง หรือคิดไม่เป็นไม่รู้ว่าจะต้องจ่ายยังไงหรือเท่าไร ที่จริงการเสียภาษีนั้นก็เหมือนกับข้อกฎหมายอื่นๆ ที่ ประชาชนก็ ควรต้องมี ความรู้และปฏิบัติตามอย่างถูกต้องด้วย ตามประมวลกฎหมายรัษฎากร มาตรา 40 (1) นั้นได้กำหนดและจำแนก รายละเอียดของเงินได้หรือรายได้ที่จะต้องเสียภาษีไว้อย่างละเอียด อาทิ เงินได้ จากการจ้างแรงงาน ทั้งพนักงานในธุรกิจเอกชน และภาครัฐบาล เงินได้เกิดจากการ จ้างแรงงานที่มีคู่สัญญาระหว่างนายจ้างและลูกจ้าง โดยมีกำหนดระยะเวลาจ้าง โดยลูกจ้างตกลงทำงานให้แก่นายจ้าง หรือหุ้นที่บริษัทแจกให้กับพนักงานก็ต้อง นำมาคิดเป็นเงินได้ที่ต้องประเมินภาษีด้วย


มีปัญหาปรึกษาทนายใกล้ศาล 099 464 4445
ค้นหาทนายใกล้ศาลได้ที่เวปไซต์นี้ www.ทนายใกล้ศาล.com 
*********************************

4. ตกงาน อย่าตกใจ (4 of 14)
มนุษย์เงินเดือนก็มีความหวังอยู่ที่เมื่องานทำแล้วก็ได้จะได้เงินเดือนมาเลี้ยงปาก เลี้ยงท้องตัวเองรวมทั้งคนในครอบครัว บางคนก็เอามาจ่ายหนี้ต่างๆ ที่เกิดขึ้น ในชีวิต แต่ถ้าเกิดเหตุที่ทำให้ต้องตกงานโดยไม่ทันตั้งตัว ก็อย่าเพิ่งตกใจจนเกินเหตุ เพราะระหว่างทำงานลูกจ้างทุกคนจะต้องจ่ายค่าประกันสังคมกับสำนักงาน ประกันสังคมไว้หากต้องตกงานก็สามารถใช้สิทธิขอรับเงินช่วยเหลือจากกองทุนประกันสังคมได้ ตามข้อกำหนดหลักเกณฑ์และอัตราการได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงาน พ.ศ. 2547 ตามพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533 ซึ่งมีรายละเอียดการให้ ความช่วยเหลือแตกต่างกันไป ซึ่งก็จะทำให้เรามีเงินจำนวนหนึ่งมารองรังสำหรับ การเริ่มต้นครั้งใหม่ ไม่ว่าจะเป็นหางานใหม่ หรือคิดจะทำอะไรด้วยตัวเองดังนั้นเรื่องประกันสังคมจึงเป็นเรื่องที่สำคัญ เมื่อยังมีงานทำก็ควรจะทราบสิทธิ์ ของเราตรงนี้เอาไว้


อยู่กรุงเทพ มีปัญหาปรึกษาทนายกรุงเทพ 099 464 4445
ค้นหาทนายความได้ที่เวปไซต์นี้: www.ทนายกรุงเทพ.com 
******************************* 

5. แรงงานเถื่อน นายจ้างควรระวัง  (5 of 14)


แม้จะเป็นช่วงเวลาแห่งการเข้าสู่ยุคการค้าเสรีระหว่างประเทศในกลุ่มอาเซียน แต่แรงงานต่างด้าวที่เข้ามาในเมืองยังต้องอยู่ภายใต้พระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 ดังนั้นหากใครสนับสนุนให้แรงงานต่างด้าวเข้ามาโดยผิดกฎหมาย ตามมาตรา 64 ซึ่งกำหนดบทลงโทษไว้ว่า ผู้ที่ รู้ว่าคนต่างด้าวคนใดเข้ามาในราชอาณาจั กรโดยฝ่าฝืน กฎหมายแล้วให้ที่พักอาศัย ซ่อนเร้น หรือช่วยเหลือด้วยประการใดๆ แก่บุคคล ต่างด้าวนั้น เพื่อให้คนต่างด้าวนั้นพ้นจากการจับกุม ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี และปรับไม่เกิน 50,000 บาทใครจะรับแรงงานต่างชาติเข้ามาควรศึกษากฎหมายให้ดีด้วย

ปรึกษาทนายสู้คดี 099 464 4445
ค้นหาทนายได้ที่เวปไซต์นี้ www.สู้คดี.com 
………………………………….

6. เลิกจ้างโดยลูกจ้าง  (6 of 14)


การจ้างแรงงานระหว่างลูกจ้างและนายจ้างไม่จำเป็นต้องทำเป็นหนังสือแต่อย่างใด เพราะไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้ ซึ่งการจ้างแรงงานเป็นสัญญาต่างตอบแทน เมื่อลูกจ้างทำงานให้นายจ้าง ลูกจ้างก็ต้องได้รับค่าจ้างเป็นการตอบแทน โดยทั้งสองฝ่ายต่างมีความพึงพอใจต่อกัน หากฝ่ายใดประสงค์จะเลิกสัญญาก็แสดงเจตนาให้อีกฝ่ายหนึ่งรับรู้
ส่วนการเลิกจ้าง ลูกจ้างจะมีสิทธิได้รับค่าทดแทนตามกฎหมายคุ้มครองแรงงานเป็นจำนวนเท่าใด ก็เป็นเรื่องที่จะต้องพิจารณาในอีกกรณีหนึ่ง ถึงแม้จะมีข้อบังคับของนายจ้างว่า ลูกจ้างต้องบอกล่วงหน้าก่อนลาออกอย่างน้อย 30 วัน ก็ไม่สามารถบังคับลูกจ้างให้ปฏิบัติได้ แต่หากลูกจ้างจงใจหรือเจตนาละทิ้งงานทำให้นายจ้างเสียหาย ก็เป็นเรื่องที่นายจ้างจะต้องดำเนินการฟ้องร้องตามกฎหมายอีกกรณีหนึ่ง ดังนั้นการที่ลูกจ้างไม่ประสงค์ทำงานให้นายจ้าง จึงเป็นเรื่องของความสมัครใจซึ่งไม่สามารถบังคับกันได้ เมื่อลูกจ้างแสดงเจตนาบอกเลิกสัญญาจ้างเพียงฝ่ายเดียวสัญญาจ้างแรงงานก็สิ้นสุด

มีปัญหาปรึกษาทนายใกล้คุณ 099 464 4445
ค้นหาทนายใกล้คุณได้ที่เวปไซต์นี้ www.ทนายใกล้คุณ.com
*********************************

7. นายจ้างไม่จ่ายเงินเดือน ลูกจ้างควรทำอย่างไร  (7 of 14)


มนุษย์เงินเดือนหรือคนทำงานโดยทั่วไปก็ต้องมุ่งหวังว่าเมื่อทำงานให้เขาแล้ว ถึงเวลาที่ได้ตกลงกันเอาไว้ก็ต้องได้รับค่าจ้างเป็นค่าตอบแทนการทำงานนั้นๆ เพื่อนำไปเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง แต่ก็มักมีกรณีเกิดขึ้นอยู่เนืองๆ ที่ลูกจ้างไม่ได้รับ เงินเดือนหรือค่าตอบแทนการทำงานตามสิทธิ์ที่ควรจะได้รับจากนายจ้าง หรืออาจเป็นการทำงานวันหยุดไม่ได้ค่าล่วงเวลา หรืออาจถึงขั้นให้ออกจากงาน โดยไม่จ่ายเงินชดเชยสิทธิโดยชอบธรรมของลูกจ้างนั้นมีระบุไว้ในกฎหมายคุ้มครองแรงงานอยู่แล้ว ดังนั้น ผู้ที่ประสบปัญหาเหล่านี้สามารถไปยื่นคำร้องพนักงานตรวจแรงงาน ในพื้นที่สถานที่ทำงาน ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 123 หรือใช้สิทธิ์ฟ้องศาลแรงงานเพื่อให้ได้มาซึ่งความเป็นธรรม โดยที่ศาลนี้จะดำเนินการพิจารณาคดีเป็นไปอย่างรวดเร็ว

มีคดีที่ศาลใหน ปรึกษาทนายใกล้ศาลนั้น 099 464 4445
ค้นหาทนายใกล้ศาลได้ที่เวปไซต์นี้ www.ทนายใกล้ศาล.com
**********************************

8. สิทธิของลูกจ้างหลังเลิกจ้าง  (8 of 14)


โดยปกติแล้ว สัญญาจ้างแรงงานจะมีบทบัญญัติอยู่ทั้งในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงานพุทธศักราช 2541 แต่ถ้าข้อกฎหมายใดบัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงานพุทธศักราช 2541 แล้ว จะไม่นำข้อกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาใช้กับสัญญาจ้างแรงงานระหว่างนายจ้างกับลูกจ้างอีก เนื่องจากพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงานเป็นกฎหมายพิเศษ
นอกจากนี้กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ได้มีข้อปฏิบัติอีก 2 ประการ ที่ไม่ได้ระบุไว้ในพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พุทธศักราช 2541 ซึ่งข้อปฏิบัติดังกล่าวกำหนดให้ลูกจ้างมีสิทธิได้รับใบสำคัญ หรือใบรับรองการทำงานจากนายจ้างเมื่อการจ้างแรงงานสิ้นสุดลง และในกรณีที่นายจ้างนำลูกจ้างมาจากต่างถิ่น นายจ้างต้องใช้ค่าเดินทางกลับให้แก่ลูกจ้างด้วยเมื่อการจ้างแรงงานสิ้นสุดลง

อยู่กรุงเทพ ปรึกษาทนายกรุงเทพ 099 464 4445
ค้นหาทนายความได้ที่เวปไซต์นี้: www.ทนายกรุงเทพ.com  *****************************

9. ประกันสังคมที่นายจ้างต้องปฎิบัติ  (9 of 14)


เมื่อเข้าไปทำงานในองค์กรเอกชน สิ่งที่พนักงานและลูกจ้างควรจะทราบไว้ เพื่อรักษาสิทธิของตนเองคือการยื่นแบบประกันสังคมของนายจ้าง เพราะทุกสถานที่ประกอบการเมื่อรับลูกจ้างเข้าทำงานใหม่ นายจ้างจะต้องดำเนินการยื่นแบบรายชื่อลูกจ้างที่รับเข้ามาภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ลูกจ้างนั้นเป็นผู้ประกันตน หรือทำงานในหน่วยงาน หากนายจ้างไม่ยื่นแบบภายในกำหนดเวลาดังกล่าวถือว่านายจ้างผู้นั้นได้กระทำผิดต่อพระราชบัญญัติประกันสังคม พุทธศักราช 2533 มาตรา 34 ประกอบมาตรา 96 วรรค 1 มีอัตราโทษจำคุกไม่เกินหก เดือนปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ปัจจุบันผู้ประกันตนได้รับสิทธิประโยชน์มากมายจากการนำเงินส่งประกันสังคม โดยสิทธิประโยชน์ที่ได้รับจากการหักเงินนำส่งของนายจ้าง ซึ่งนายจ้างจะออกให้อีกเท่าหนึ่งของลูกจ้างที่ได้หักเพื่อนำส่งไว้ สิทธิที่ลูกจ้างจะได้รับ นอกจากจะเป็นค่ารักษาพยาบาลเมื่อเจ็บป่วยไข้ หรือได้รับอุบัติเหตุ ผู้ประกันตนยังได้รับเงินบำเหน็จหรือบำเหน็จจากการเกษียณอายุ 55 ปี เมื่อผู้ประกันตนส่งเงินสมทบครบ 15 ปีของการทำงานอีกด้วย เพราะฉะนั้นการยื่นแบบแสดงเงินเดือนของลูกจ้างที่นายจ้างพึงกระทำจะต้องตรงกับความจริงที่ได้จ่ายเงินค่าจ้างให้กับลูกจ้างรายนั้น แต่หากนายจ้างรายใดไม่ต้องการจะจ่ายเงินสมทบมาก ก็จะแจ้งข้อมูลเป็นเท็จในแบบแสดงรายการที่ยื่น เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายส่วนต่างที่ทางกฎหมายกำหนดไว้ หากเป็นเช่นนี้ถือว่า นายจ้างรายนั้นได้กระทำผิดพระราชบัญญัติประกันสังคม พุทธศักราช 2533 มาตรา 34 ประกอบมาตรา 94 มีอัตราโทษจำคุกไม่เกินหกเดือนหรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

อยู่กรุงเทพ ปรึกษาทนายกรุงเทพ 099 464 4445
ค้นหาทนายความได้ที่เวปไซต์นี้: www.ทนายกรุงเทพ.com  *****************************  

10. เงินทดแทน  (10 of 14)


การเจ็บป่วยเป็นอุปสรรคอย่างหนึ่งของการดำรงชีวิต บุคคลใดที่ไม่เจ็บป่วยถือว่าเป็นลาภอันประเสริฐ ตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า แต่มนุษย์ไม่ใช่เครื่องจักรที่ร่างกายจะทนแดด ทนฝน หรือทนการใช้แรงงานอย่างหามรุ่งหามค่ำได้ ต้องมีภาวะเจ็บป่วยเป็นของธรรมชาติ ดังนั้นหากขาดการดูแลสุขภาพร่างกาย หรือเกิดอันตรายในระหว่างการทำงาน และขาดการพักผ่อนที่เพียงพอหรือสภาพร่างกายที่ไม่พร้อมทำงานแต่ยังฝืนทำจนได้รับอันตรายหรือไปเจ็บป่วยในสถานที่ทำงาน ซึ่งหากเกิดเหตุการณ์เหล่านี้ ตามกฎหมายให้นายจ้างรักษาพยาบาลทันทีตามความเหมาะสมแก่อันตรายหรือความเจ็บป่วยนั้น และให้นายจ้างจ่ายค่ารักษาพยาบาลเท่าที่จ่ายจริงหรือตามความจำเป็น ตามกฎหมายที่กำหนด แต่หากนายจ้างรายใดไม่จัดให้ลูกจ้างซึ่งประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยได้รับการรักษาพยาบาลตามกฎหมายแล้ว ถือว่านายจ้างผู้นั้นได้กระทำผิดพระราชบัญญัติเงินทดแทน พุทธศักราช 2537 มาตรา 13 ประกอบมาตรา 62 มีอัตราโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
ขึ้นชื่อว่ามนุษย์เงินเดือนแล้ว หลายๆ คนก็อยากจะทำงานกับบริษัทที่มีสวัสดิการที่ดี แต่บริษัทที่ให้สวัสดิการอย่างครบครันยังไม่ครอบคลุมทุกธุรกิจ แต่อย่างหนึ่งที่ทุกบริษัทจะต้องจัดทำคือการนำส่งแบบลงทะเบียนและแบบรายการแสดงรายชื่อลูกจ้างและจ่ายเงินสมทบต่อสำนักงานแห่งท้องที่ที่นายจ้างยื่นแบบลงทะเบียนจ่ายเงินสมทบไว้ หากนายจ้างหรือธุรกิจใดไม่ยื่นแบบดังกล่าวภายในสามสิบวันนับแต่วันที่นายจ้างมีหน้าที่ต้องจ่ายเงินสบทบถือว่า นายจ้างรายนั้นได้กระทำผิดพระราชบัญญัติเงินทดแทน พุทธศักราช 2537 มาตรา 44 ประกอบมาตรา 62 มีอัตราโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

อยู่กรุงเทพ ปรึกษาทนายกรุงเทพ 099 464 4445
ค้นหาทนายความได้ที่เวปไซต์นี้: www.ทนายกรุงเทพ.com  *****************************    

11. นายจ้างเรียกหลักค้ำประกันการทำงานของลูกจ้างได้หรือไม่  (11 of 14)


นายจ้างมีสิทธิเรียกหลักค้ำประกันจากลูกจ้างหรือผู้เข้าทำงานได้ หากหน้าที่หรือความรับผิดชอบของลูกจ้างมีความเกี่ยวข้องกับเรื่องเงินทอง หรือทรัพย์สินของนายจ้างที่เล็งเห็นแล้วว่าอาจก่อให้เกิดความเสียหายได้ แต่ถ้าหากหน้าที่ความรับผิดชอบของลูกจ้างไม่มีความเสี่ยงที่ก่อให้เกิดความเสียหาย ซึ่งนายจ้างได้เรียกหรือรับหลักค้ำประกันการทำงาน หรือหลักประกันการเสียหายในการทำงาน หรือแม้แต่การค้ำประกันด้วยบุคคลจากลูกจ้างโดยมิชอบ ถือว่านายจ้างได้กระทำความผิดตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พุทธศักราช 2541 มาตรา 10 ประกอบมาตรา 144 มีโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มีคดีที่ศาลใหน ปรึกษาทนายใกล้ศาลนั้น 099 464 4445
ค้นหาทนายใกล้ศาลได้ที่เวปไซต์นี้ www.ทนายใกล้ศาล.com
**********************************  

12. ลูกจ้างอยากทำงานล่วงเวลาเกิน 36 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ได้หรือไม่  (12 of 14)

การทำงานล่วงเวลา มีความหมายว่าการทำงานนอกเหนือ หรือเกินเวลาทำงานปกติ หรือเกินชั่วโมงทำงานในแต่ละวันที่นายจ้างตกลงกันในวันทำงาน หรือวันหยุดแล้วแต่กรณี ซึ่งการที่นายจ้างไม่อาจอนุญาตให้ลูกจ้างทำงานล่วงเวลาได้ตามความต้องการ เนื่องจากพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พุทธศักราช 2541 มาตรา 24, 25, 26 และ 144 ห้ามมิให้นายจ้างให้ลูกจ้างทำงานล่วงเวลาเกินสัปดาห์ละ 36 ชั่วโมง หากนายจ้างรายใดฝ่าฝืนมีโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มีปัญหาปรึกษาทนายใกล้คุณ 099 464 4445
ค้นหาทนายใกล้คุณได้ที่เวปไซต์นี้ www.ทนายใกล้คุณ.com 
*********************************  
 

กฎหมายแรงงาน (ต่อ 12 of 14)

13. อยากทำธุรกิจจัดหางานต้องทำอย่างไร (13 of 14)
อาชีพนายหน้าจัดหางาน มีหน้าที่ในการสรรหาบุคคลากรที่มีฝีมือและตรงกับความต้องการของผู้ประกอบการธุรกิจต่างๆ ซึ่งผู้ประกอบธุรกิจรับจัดหางานจะต้องได้รับใบอนุญาตอย่างถูกต้องตามกฎหมาย หากผู้ใดฝ่าฝืนถือเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พุทธศักราช 2528 มาตรา 8 ประกอบมาตรา 73 มีโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

อยู่กรุงเทพ ปรึกษาทนายกรุงเทพ 099 464 4445
ค้นหาทนายความได้ที่เวปไซต์นี้: www.ทนายกรุงเทพ.com  *****************************    

14. ทำธุรกิจจัดหางานเถื่อนมีโทษหนัก (14 of 14)
ที่ผ่านมามีการนำเสนอข่าวกรณีนายหน้าหรือบริษัทจัดหางานเถื่อนหลอกลวงให้ไปทำงานต่างประเทศ และมีประชาชนหลงเชื่อเป็นจำนวนมาก ซึ่งการกระทำดังกล่าวนี้ถือเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พุทธศักราช 2528 มาตรา 91 ตรี ในฐานความผิดหลอกลวงผู้อื่นว่าสามารถหางาน หรือสามารถส่งไปฝึกงานในต่างประเทศ และได้ไปซึ่งทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดจากผู้ถูกหลอกลวง ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบปี หรือปรับตั้งแต่หกหมื่นถึงสองแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ


มีปัญหาปรึกษาทนายใกล้คุณ 099 464 4445
ค้นหาทนายใกล้คุณได้ที่เวปไซต์นี้ www.ทนายใกล้คุณ.com 
*********************************    

X